วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2568

สคส. จี้บริษัทเคลียร์ให้ชัด แจงประชาชนระวัง “สแกนม่านตา” ย้อนกลับ ระบุตัวบุคคลได้

 สคส. จี้บริษัทเคลียร์ให้ชัด แจงประชาชนระวัง “สแกนม่านตา” ย้อนกลับ ระบุตัวบุคคลได้

 


สคส. ย้ำ “ข้อมูลม่านตาคือข้อมูลอ่อนไหว” ต้องโปร่งใส–เคารพสิทธิประชาชน ข้อมูลชีวมิติ (Biometric Data) โดยเฉพาะม่านตา ถือเป็นข้อมูลอ่อนไหวตามกฎหมาย การเก็บรวบรวมต้องได้รับความยินยอม (Consent) อย่างถูกต้อง โปร่งใส และแจ้งวัตถุประสงค์ที่แท้จริง

พ.ต.อ. สุรพงศ์ เปล่งขำ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล สคส. หรือ PDPC เปิดเผยภายหลังได้ตรวจพิสูจน์หลักฐานการสแกนม่านตาดังกล่าวว่า กรณีนี้ไม่เพียงเกี่ยวข้องกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล แต่ยังสะท้อนถึง ความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของสังคมไทย

พร้อมเน้นย้ำว่า “ข้อมูลชีวมิติ (Biometric Data) โดยเฉพาะม่านตา ถือเป็นข้อมูลอ่อนไหวตามกฎหมาย ต้องได้รับความยินยอมอย่างถูกต้องและโปร่งใส” พร้อมระบุ 2 เงื่อนไขสำคัญที่จะสร้างความสงบเรียบร้อยและความเชื่อมั่น คือ

1. ความโปร่งใส (Transparency) ในการแจ้งวัตถุประสงค์ที่แท้จริง และ

2. การคุ้มครองสิทธิของเจ้าของข้อมูล (Data Subject Rights) อย่างครบถ้วน

 

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาจากการตรวจสอบของ สคส. พบข้อกังวลหลายประเด็น โดยบริษัทแม้อ้างว่ามีการ “ลบทำลายข้อมูล” การสแกนม่านตามีวัตถุประสงค์เป็นเพียงการยืนยันความเป็นมนุษย์เท่านั้น มิได้มีวัตถุประสงค์ในการระบุยืนยันถึงตัวบุคคล แต่ยังไม่มีหลักฐานที่สามารถยืนยันได้อย่างชัดเจนว่ามีการลบทำลายจริงหรือไม่อย่างไร อีกทั้งยังพบกรณีการจ้างบุคคลเข้ามาสแกนม่านตาเพื่อแลกเหรียญ ซึ่งก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยและเสี่ยงต่อการถูกนำไปใช้ในทางมิชอบ แม้ว่าบริษัทจะชี้แจงว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับมิจฉาชีพ แต่ สคส. เห็นว่าจำเป็นต้องมีมาตรการป้องกันเชิงรุก อาทิ การจัดทำข้อความแจ้งเตือน การติดตั้งป้ายประชาสัมพันธ์ที่ชัดเจน และการจัดเจ้าหน้าที่ควบคุมการสแกนในพื้นที่จริง

และเพื่อความโปร่งใส บริษัทได้ชะลอการสแกนม่านตา และกำหนดวันแสดงหลักฐานต่อสาธารณชน ผลการแสดงหลักฐานพบว่า ผู้ที่สแกนแล้วไม่สามารถสแกนซ้ำได้อีก แสดงว่าการสแกนม่านตามีวัตถุประสงค์ทั้งเพื่อยืนยันความเป็นมนุษย์และป้องกันการซ้ำบุคคล แม้จะอ้างว่ามีการลบข้อมูล แต่ข้อมูลม่านตายังสามารถย้อนกลับไประบุตัวบุคคลได้ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ซึ่งประชาชนควรรับรู้ก่อนตัดสินใจยินยอมสแกน

พ.ต.อ. สุรพงศ์ ระบุว่า หากการขอความยินยอม (Consent) ไม่แจ้งวัตถุประสงค์ให้ชัดเจนว่า ข้อมูลยังสามารถย้อนกลับมายืนยันตัวบุคคลได้ อาจถือเป็นการขอความยินยอมโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา 19 วรรค 3 อันเข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนตามมาตรา 26 คือการเก็บรวบรวมข้อมูลอ่อนไหว โดยไม่ได้รับความยินยอมอย่างชัดแจ้ง มีโทษตามมาตรา 84 ของ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 ซึ่งมีโทษปรับทางปกครองสูงสุดถึง 5 ล้านบาท

เรื่องนี้ไม่ใช่เพียงประเด็นการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล แต่คือความมั่นคงของสังคม ซึ่งมาตรการในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลคือ ต้องสื่อสารข้อเท็จจริงให้ประชาชนเข้าใจอย่างตรงไปตรงมา ทาง สคส. จะดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลอย่างเคร่งครัด และสมดุลกับการพัฒนาเทคโนโลยีให้สอดคล้องกับบริบทสังคมไทยต่อไป” พ.ต.อ. สุรพงศ์ กล่าวสรุปในตอนท้าย

ตระการตาขบวนพาเหรดเปิดงาน “Kebaya Festival 2025” ภูเก็ตเมืองสร้างสรรค์ สืบสานวัฒนธรรมบาบ๋า - เพอรานากัน ยกระดับเทศกาลประเพณีไทยสู่เวทีโลก ผลักดันอัตลักษณ์ไทยสู่ Soft Power

 ตระการตาขบวนพาเหรดเปิดงาน “Kebaya Festival 2025” ภูเก็ตเมืองสร้างสรรค์ สืบสานวัฒนธรรมบาบ๋า - เพอรานากัน ยกระดับเทศกาลประเพณีไทยสู่เวทีโลก ผลักดันอัตลักษณ์ไทยสู่ Soft Power



เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2568 กระทรวงวัฒนธรรม และจังหวัดภูเก็ต โดยสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดภูเก็ต ร่วมกับสภาวัฒนธรรมจังหวัดภูเก็ต องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน เครือข่ายด้านศิลปวัฒนธรรม จัดงาน “มหกรรมภูเก็ตเมืองสร้างสรรค์ Phuket Creative City : Kebaya Festival 2025” อย่างยิ่งใหญ่ ณ สวนเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา มหาราชินี (ลานมังกร) เพื่อเฉลิมฉลอง “เคบาย่า” เครื่องแต่งกายพื้นเมืองของสตรีบาบ๋า – เพอรานากัน ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้จากองค์การยูเนสโก



นางรักชนก โคจรานนท์ รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดงานฯ โดยมีนางพวงผกา เชาวน์ไวย วัฒนธรรมจังหวัดภูเก็ต สภาวัฒนธรรมจังหวัดภูเก็ต ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และเครือข่ายทางวัฒนธรรมเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง 





นางรักชนก โคจรานนท์ กล่าวว่า การจัดงานครั้งนี้ นอกจากจะเป็น “งานเทศกาล” แล้วยังเป็นเวทีในการสร้าง ความตระหนักรู้และความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์ท้องถิ่น ตลอดจนเป็นการเชื่อมโยงรากเหง้าวัฒนธรรมกับกระแสโลกสมัยใหม่ เพื่อให้เกิดคุณค่าทั้งในด้านเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนในภูมิภาค ซึ่ง วธ.มีภารกิจสำคัญในการอนุรักษ์ ฟื้นฟูและพัฒนาทุนทางวัฒนธรรมของชาติให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) รวมถึงการสนับสนุนเมืองสำคัญ ๆ ใช้ความคิดสร้างสรรค์ และวัฒนธรรมท้องถิ่นเป็น แรงขับเคลื่อนการพัฒนาเมือง จังหวัดภูเก็ตในฐานะที่ได้รับการยกย่องให้เป็น “เมืองสร้างสรรค์ด้านอาหาร” จากองค์การยูเนสโก ได้พิสูจน์แล้วว่าวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์สามารถก่อให้เกิดพลังทางเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่ สร้างงาน สร้างรายได้ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนได้อย่างแท้จริง 


งาน Kebaya Festival” ครั้งนี้จึงเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่ต่อยอดความสำเร็จของ ภูเก็ตเมืองสร้างสรรค์ เชื่อมโยงความงดงามของแฟชั่น วัฒนธรรม อาหาร ศิลปะการแสดง และ วิถีชีวิตท้องถิ่นเข้าด้วยกัน เพื่อให้ภูเก็ตก้าวสู่การเป็น “เวทีระดับนานาชาติ” ที่ผู้คนจากทั่วโลกจะได้สัมผัส เรียนรู้ และร่วมภาคภูมิใจไปพร้อมกัน ที่สำคัญยังเป็นการจัดงานยังสอดคล้องกับนโยบายกระทรวงวัฒนธรรม ที่มุ่งยกระดับเทศกาลและประเพณีไทยสู่เวทีโลก ผ่านการชูอัตลักษณ์ไทยเป็น Soft Power โดยมีการขับเคลื่อนเทศกาลสำคัญระดับนานาชาติ 3 งาน ได้แก่ เทศกาลเมืองครามสกลนคร “Kram & Craft โลก” จ.สกลนคร เทศกาลหนังใหญ่วัดขนอนและมหกรรมหนังเงานานาชาติ 

จ.ราชบุรี และเทศกาลภูเก็ตเมืองสร้างสรรค์ “Kebaya Festival” จ.ภูเก็ต เพื่อเชื่อมโยงเทศกาลและประเพณีไทยสู่ระดับชาติและนานาชาติ ถือเป็นการขับเคลื่อน Soft Power ของไทยในมิติ “เฟสติวัลและการท่องเที่ยว” และเป็นการต่อยอดอุตสาหกรรมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ให้เติบโตอย่างต่อเนื่องอีกด้วย” รองปลัด วธ. กล่าว

ทั้งนี้ภายในงานมีกิจกรรมหลากหลายที่สร้างสีสันและสะท้อนอัตลักษณ์ภูเก็ต อาทิ ขบวนแห่ 

Kebaya Festival ยิ่งใหญ่อลังการ โดยขบวนพาเหรด มีทั้งหมด 11 ขบวน ประกอบด้วย 1. โลโก้งานมหกรรมฯ 2.วงโยธวาทิตจากโรงเรียนไทยหัว 3.ขบวนข้าราชการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 4.หงวนเซียวเกิดไท้ องค์ภูมินทร์  5.ชาติพันธุ์ร่วมใจใฝ่สามัคคี 6.จีนไทยไมตรีมณีภูเก็ต 7.เหมืองสร้างเมืองลือเลื่องดีบุก 8.ขบวนวงกลองยาว 9.ศิลป์สร้างสรรค์บันลือโลก 10.วงโยธวาทิตจากโรงเรียนสตรีภูเก็ต และ 11.รวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย

นอกจากนี้มีการแสดงศิลปวัฒนธรรม การแสดงละครในเตี้ยมฉู่ สะท้อนวิถีชีวิตคนบาบ๋าภูเก็ต การแสดงดนตรีจากนักเรียนในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต นิทรรศการ “ครบเครื่องเรื่องบ้านฉัน” การแสดงละครเวทีบาบ๋า การสาธิตงานหัตถกรรมเพอรานากัน กิจกรรม Walk Rally ย้อนรอยประวัติศาสตร์ภูเก็ต ตลอดจนมินิคอนเสิร์ตจากศิลปินชาวภูเก็ต แก้ม วิชญาณี และ โดม จารุวัฒน์ สร้างความประทับใจแก่ผู้ร่วมงานจำนวนมาก


งาน Kebaya Festival 2025 นับเป็นเวทีแสดงออกถึงความภาคภูมิใจในรากเหง้าวัฒนธรรมของชาวภูเก็ตที่เกิดจากความร่วมมือของภาครัฐ เอกชน ชุมชน และภาคการท่องเที่ยว พร้อมทั้งเป็นการสานต่อความสำเร็จหลังจากที่ประเทศไทยและอีก 4 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ บรูไนฯ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และสิงคโปร์ร่วมกันขึ้นทะเบียน “เคบาย่า” เป็น “มรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ” 

จากยูเนสโกในปี 2567

--------------------

วันเสาร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2568

สทนช. รุกลงพื้นที่ประชุมศูนย์ฯ ส่วนหน้าลุ่มน้ำโขงอีสาน ผนวกลุ่มน้ำชี เตรียมพร้อมรับฝน-พายุปลาย ก.ย. ปรับแผนเข้มป้องกันน้ำชนน้ำที่อุบลราชธานี

 สทนช. รุกลงพื้นที่ประชุมศูนย์ฯ ส่วนหน้าลุ่มน้ำโขงอีสาน ผนวกลุ่มน้ำชี เตรียมพร้อมรับฝน-พายุปลาย ก.ย. ปรับแผนเข้มป้องกันน้ำชนน้ำที่อุบลราชธานี 


สทนช. รุกลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำลุ่มน้ำโขงอีสาน ลุ่มน้ำชี เร่งประชุมศูนย์ฯ ส่วนหน้า หลังประเมินพายุ “รากาซา” อาจกระทบอีสาน สั่งเร่งพร่องน้ำในอ่างฯ เพิ่มพื้นที่รับฝนระรอกใหม่ พร้อมจัดจราจรน้ำอย่างรัดกุม ป้องกันมวลน้ำระบายจากอ่างฯ น้ำท่า และน้ำฝนไหลรวมกันที่อุบลราชธานี




วันนี้ (20 กันยายน 2568) ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นประธานการประชุมศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือ ครั้งที่ 6/2568 โดยมี ผู้แทนจังหวัดในพื้นที่ และผู้ทรงคุณวุฒิในพื้นที่ลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือ และลุ่มน้ำชี รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม ณ ห้องประชุมอาคารประชาสัมพันธ์ เขื่อนอุบลรัตน์ อำเภออุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น และผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ จากนั้น เลขาธิการ สทนช. และคณะได้ลงติดตามสถานการณ์น้ำในพื้นที่ลุ่มต่ำบ้านดอนสนวน อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ เพื่อสำรวจผลกระทบพื้นที่ท้ายน้ำจากการระบายน้ำเขื่อนลำปาว ซึ่งจะได้วางแผนพัฒนาพื้นที่เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำเขื่อนลำปาวในอนาคต






เลขาธิการ สทนช. เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า การประชุมในวันนี้สืบเนื่องจากกรมอุตุนิยมวิทยาร่วมกับสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) ได้ติดตามและประเมินสถานการณ์ฝนมาอย่างต่อเนื่อง โดยพบว่าระหว่างวันที่ 22 – 30 กันยายน 2568 มีแนวโน้มจะมีฝนเพิ่มมากขึ้นในหลายพื้นที่ เนื่องจากอิทธิพลของพายุโซนร้อน“มิแทก” (Mitag) ที่กำลังสลายตัว และพายุโซนร้อน “รากาซา” (Ragasa) ซึ่งในเช้าวันนี้ได้ทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อนกำลังแรง ศูนย์กลางยังอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก คาดว่าจะแรงขึ้นเป็นพายุไต้ฝุ่น ก่อนจะเคลื่อนตัวทางตะวันตกลงสู่ทะเลจีนใต้ตอนบนในช่วงวันที่ 25 กันยายน 2568 โดยมีลักษณะการเคลื่อนตัวคล้ายกับพายุ “วิภา” และ 

คาจิกิ"จะส่งผลให้เกิดร่องมรสุมพาดผ่านบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลาง และภาคตะวันออก ทำให้มีปริมาณฝนเพิ่มขึ้นในพื้นที่ดังกล่าวโดยเฉพาะ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนและตามชายขอบของประเทศ ในขณะที่พื้นที่ตอนล่างของภาคตะวันออกเฉียงเหนือก็จะยังคงมีฝนต่อเนื่องด้วย จึงต้องมีการเตรียมการรับมือสถานการณ์ดังกล่าว







ที่ประชุมจึงได้ร่วมกันประเมินสถานการณ์และแนวทางการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ ลุ่มน้ำชี และลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือ โดยสถานการณ์ลุ่มน้ำชี ขณะนี้ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่หลายแห่งค่อนข้างมาก ได้แก่ อ่างฯ อุบลรัตน์มีปริมาณน้ำ 78% ของความจุเก็บกัก อ่างฯ จุฬาภรณ์มีปริมาณน้ำ 76% ของความจุเก็บกัก และอ่างฯ ลำปาวมีปริมาณน้ำ 76% ของความจุเก็บกัก ในขณะที่ปริมาณน้ำในลำน้ำต่าง ๆ ของลุ่มน้ำชีในวันนี้ยังไม่สูงมากนัก ยังสามารถพร่องระบายน้ำจากอ่างฯ ต่างๆ ได้อีก  ที่ประชุมจึงได้มีมติให้ สทนช. ภาค 3 ในฐานะฝ่ายเลขานุการฯ เสนอต่อคณะกรรมการลุ่มน้ำชี เพื่อพิจารณาปรับแผนการระบายน้ำอ่างฯ อุบลรัตน์ จากเดิมระบายน้ำไม่เกิน 25 ล้านลูกบาศก์เมตร (ล้าน ลบ.ม.) ต่อวัน เป็นระบายน้ำไม่เกิน 35 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน เพื่อให้การบริหารจัดการมีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยให้ดำเนินการแบบขั้นบันได ซึ่งจะต้องมีการประเมินผลกระทบด้านท้ายน้ำอย่างต่อเนื่อง และสอดรับกับสถานการณ์ฝนและปริมาณน้ำในพื้นที่ สำหรับอ่างฯ ลำปาว ปัจจุบันได้ระบายน้ำในอัตราสูงสุดวันละ 13 ล้าน ลบ.ม. ต่อวันแล้ว ที่ประชุมจึงมีมติให้ปรับลดการระบายน้ำลงในช่วงเดือนตุลาคม เพื่อช่วยชะลอมวลน้ำไม่ให้ไหลไปรวมกันที่จังหวัดอุบลราชธานีในเวลาเดียวกัน


เลขาธิการ สทนช. กล่าวต่อว่า สำหรับสถานการณ์ลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือ ปัจจุบันแหล่งน้ำต่าง ๆ มีปริมาณน้ำจำนวนมากเช่นกัน ได้แก่ อ่างฯ ห้วยหลวงมีปริมาณน้ำ 90% ของความจุเก็บกัก อ่างฯ น้ำอูนมีปริมาณน้ำ 90% ของความจุเก็บกัก อ่างฯ น้ำพุงมีปริมาณน้ำ 63% ของความจุเก็บกัก และหนองหารมีปริมาณน้ำ 85% ของความจุเก็บกัก ซึ่งแต่ละอ่างฯ มีแนวโน้มปริมาณน้ำมากเกินความจุเก็บกักได้ ดังนั้น เพื่อเป็นการรักษาความปลอดภัยของอ่างฯ และเพิ่มพื้นที่รองรับปริมาณฝนที่คาดว่าจะมาเพิ่ม ที่ประชุมได้มีมติให้กรมชลประทานเร่งระบายน้ำดำเนินการ ดังนี้ อ่างฯ ห้วยหลวง ให้ปรับแผนเพิ่มการระบายน้ำให้เต็มศักยภาพโดยต้องไม่เกิดผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายน้ำ อ่างฯ น้ำอูน ให้เร่งดำเนินการติดตั้งอุปกรณ์ช่วยเร่งระบายน้ำ (กาลักน้ำ) และที่หนองหารให้เร่งรัดเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำในพื้นที่คอขวดท้ายหนองหารที่ไม่สามารถระบายน้ำได้เต็มศักยภาพ พร้อมติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพิ่มเติมที่ประตูระบายน้ำหนองบึงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ






ในช่วงวันที่ 20 –24 กันยายน 2568 ถือเป็นจังหวะที่ปริมาณฝนและปริมาณน้ำในแต่ละพื้นที่ยังไม่มาก ประกอบกับคาดการณ์ว่าระดับน้ำในแม่น้ำโขงยังคงต่ำกว่าตลิ่ง ทุกหน่วยงานจึงต้องเร่งระบายน้ำให้ออกจากพื้นที่ให้ได้มากที่สุด  แต่จะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่จะไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายน้ำ และบริหารจัดการให้สอดรับกับสถานการณ์ฝนและปริมาณน้ำในแต่ละพื้นที่ด้วย เพื่อให้ประชาชนได้รับผลกระทบน้อยที่สุด” เลขาธิการ สทนช.กล่าวในตอนท้าย 


สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ

20 กันยายน 2568


กรมพัฒน์ มอบโล่เชิดชู 34 เครือข่าย ร่วมขับเคลื่อนพัฒนาแรงงานไทย

 กรมพัฒน์ มอบโล่เชิดชู 34 เครือข่าย ร่วมขับเคลื่อนพัฒนาแรงงานไทย

วันที่ 20 กันยายน 2568 กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน จัดพิธีมอบโล่ประกาศเกียรติคุณให้แก่เครือข่ายพัฒนาฝีมือแรงงาน ที่ให้การสนับสนุนการพัฒนาฝีมือแรงงานและสนับสนุนเครื่องมืออุปกรณ์ เพื่อนำไปใช้จัดฝึกอบรม ณ ห้องแกรนด์บอลรูม ชั้น 3 โรงแรมบางกอก พาเลส แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร โดยมีนายเดชา พฤกษ์พัฒนรักษ์ อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เป็นประธานในพิธี  



นายเดชา พฤกษ์พัฒนรักษ์ อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กล่าวว่า การมอบโล่ประกาศเกียรติคุณในครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน ที่เป็นเครือข่ายพัฒนาฝีมือแรงงานที่ได้ให้ความร่วมมือและสนับสนุนการดำเนินงานของกรมพัฒนาฝีมือแรงงานอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านการจัดฝึกอบรม การทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงาน และการแข่งขันฝีมือแรงงานตลอดปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 – 2568 รวมมูลค่า 28,712,875 บาท ซึ่งสามารถพัฒนาทักษะให้แก่แรงงานได้จำนวน 10,347 คน การบูรณาการความร่วมมือดังกล่าว ถือเป็นนโยบายสำคัญที่รัฐบาลได้กำหนดไว้ และกรมฯ ได้ยึดถือเป็นแนวทางปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้แรงงานไทยมีทักษะฝีมือที่ได้มาตรฐาน ตอบสนองความต้องการของตลาดแรงงาน ช่วยลดปัญหาการขาดแคลนแรงงานฝีมือ




นายเดชา กล่าวต่อไปว่า ขอขอบคุณและขอชื่นชมเครือข่ายพัฒนาฝีมือแรงงานทั้ง 34 แห่ง ที่ได้ร่วมสนับสนุนการยกระดับทักษะแรงงานไทยให้มีฝีมือสูงขึ้น สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจและเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขับเคลื่อนประเทศสู่ “ประเทศไทย 4.0” ที่มุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไปสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและหวังเป็นอย่างยิ่งว่าความร่วมมือจะดำเนินต่อไปอย่างยั่งยืน อันจะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศต่อไป

สคส. จี้บริษัทเคลียร์ให้ชัด แจงประชาชนระวัง “สแกนม่านตา” ย้อนกลับ ระบุตัวบุคคลได้

  สคส. จี้บริษัทเคลียร์ให้ชัด แจงประชาชนระวัง “สแกนม่านตา” ย้อนกลับ ระบุตัวบุคคลได้   สคส. ย้ำ “ ข้อมูลม่านตาคือข้อมูลอ่อนไหว ” ต้องโปร่งใส–...