วันพฤหัสบดีที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2568

สกศ. เจ้าภาพเปิดประชุมวิจัยทางการศึกษา ThaiCER 2025 The Education for the Future

 สกศ. เจ้าภาพเปิดประชุมวิจัยทางการศึกษา ThaiCER 2025 The Education for the Future




วันที่ 7-8 สิงหหาคม 2568 รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการสภาการศึกษา เป็นประธานเปิดการประชุม การวิจัยทางการศึกษาระดับชาติและนานาชาติ ประจำปี 2568 Thailand International Conference on Education Research :ThaiCER 2025 “The Education for the Future” โดยมีผู้เข้าร่วมจากเจ้าภาพร่วม ได้แก่ องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา มูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี SEAMEO STEM-ED และหน่วยงานสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ณ โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ และถ่ายทอดสดผ่าน Facebook Live สภาการศึกษาตลอดการประชุม 

รศ.ดร.ประวิต กล่าวว่า สำนักงานสภาการศึกษาร่วมมือกับองค์กรพันธมิตร 15 แห่งหน่วยงานด้านการศึกษาจัดงานภายใต้แนวคิด “การศึกษาเพื่ออนาคต” เป็นการเรียกร้องให้มีการดำเนินการท่ามกลางความท้าทายจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประชากรศาสตร์ และความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่ขยายวงกว้าง ระบบการศึกษาต้องมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ในการยกระดับคุณภาพและความเสมอภาคทางการศึกษาผ่านนโยบายที่อิงหลักฐานเชิงประจักษ์ นวัตกรรมดิจิทัล และการพัฒนาทุนมนุษย์อย่างรอบด้าน วิสัยทัศน์ของเราคือการพัฒนาประเทศไทยให้เป็นสังคมแห่งความรู้ มีความยืดหยุ่น สามารถแข่งขันได้ และพัฒนาอย่างยั่งยืน สอดคล้องกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง


Mr. Francois Staring นักวิเคราะห์นโยบายจาก OECD กล่าวว่า องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organization for Economic Co-operation and Development) พร้อมสนับสนุนประเทศไทยกำหนดนโยบายเพื่อเตรียมความพร้อมให้ผู้เรียนในอนาคต โดยนโยบายและแนวปฏิบัติทางการศึกษาต้องอยู่บนพื้นฐานของการวิจัยทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับ “สิ่งที่ได้ผล” ในการสอน การเรียนรู้ และการกำหนดนโยบายทางการศึกษา หน่วยงานการศึกษาได้ผลิตและเผยแพร่งานวิจัยทางการศึกษา ซึ่งหน่วยงานภาครัฐต้องเป็นกลไกหรือโครงสร้างหรือเสริมความแข็งแกร่งเพื่อสนับสนุนการใช้งานวิจัยเชิงนโยบาย ประกอบด้วย  นโยบายรัฐบาล (General Features)  ทรัพยากรและโครงสร้างพื้นฐาน (Resources and infrastructure)  ความสัมพันธ์และการทำงานร่วมกัน (Relationships and collaboration) ทักษะและความเชี่ยวชาญ (Skills and Expertise) และผลกระทบและประสิทธิผล (Impact and Effectiveness)


Professor Dr. Mustafa Yunus Eryaman จาก WERA กล่าวว่า สหพันธ์สมาคมการวิจัยด้านการศึกษาของโลก (World Education Research Assosiation) เป็นผู้ประสานงานความรู้กลางในระบบนิเวศเชิงสัมพันธ์ที่ซับซ้อนของการวิจัยทางการศึกษาระหว่างประเทศ WERA ในฐานะเครือข่ายระดับโลกที่เชื่อมโยงสมาคมและสถาบันวิจัยเฉพาะทางระดับชาติ ระดับภูมิภาค และระดับนานาชาติ มีสถานะที่โดดเด่นในการอำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายและการแปลผลการวิจัยในบริบทที่หลากหลายเป็นเครือข่ายการวิจัยทางการศึกษาที่ใหญ่ที่สุด ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของระบบนิเวศเชิงสัมพันธ์ระดับโลกสำหรับการวิจัยทางการศึกษา มีหน้าที่แยกแยะ (indentify) การวิจัยที่ทันสมัยและแนวโน้มที่เกิดขึ้นใหม่ในบริบทที่หลากหลาย เชื่อมโยง (connect) รวบรวมนักวิจัย สมาคมและผู้กำหนดนโยบายจากนานาประเทศและสาขาวิชาต่าง ๆ และระดมสรรพกำลัง (Mobilize) เพื่อเผยแพร่ อภิปราย ถกเถียง และนำไปใช้เพื่อสนับสนุนการกำหนดนโยบายและแนวปฏิบัติด้านการศึกษาทั่วโลก ขอเชิญทุกท่านที่สนใจเข้าศึกษาในเว็บไซต์

Professor Lim Cher ping  กล่าวว่า การวิจัยและการตีพิมพ์ผลงานวิจัยในระดับอุดมศึกษาของ The Education University of Hong Kong มุ่งเน้นไปที่การสอนและการเรียนรู้ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี บทบาทสำคัญเพื่อยกระดับคุณภาพ ความเท่าเทียม และประสิทธิภาพของแนวปฏิบัติด้านการสอนและการเรียนรู้ นอกจากนี้ การใช้ประโยชน์จาก AI จะช่วยสนับสนุนการค้นคว้าที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง การปรับเปลี่ยนเนื้อหาให้เหมาะสมกับผู้เรียน และการเรียนรู้ตลอดชีวิต ทั้งนี้ต้องให้ความสำคัญของการพัฒนาวิชาชีพครูโดยสร้างขีดความสามารถสำหรับการเรียนการสอนที่ขับเคลื่อนด้วย ICT มุ่งเน้นเนื้อหาและความร่วมมือกัน ซึ่งการเรียนรู้แบบผสมผสานและการเรียนรู้ออนไลน์ ควรได้รับการสนับสนุนจากการออกแบบที่ครอบคลุมและการปรับตัวตามท้องถิ่น เป็นการแก้ไขปัญหาช่องว่างความเท่าเทียมการศึกษาระดับอุดมศึกษาในชนบทและเมือง



นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการแสดงนิทรรศการ การนำเสนองานวิจัยระดับชาติและนานาชาติจำนวน 16 ห้องย่อย ที่น่าสนใจ ได้แก่ Transforming Theory Practice Mobility of Volunteers in Education, How do teachers play, Bridging Theory and Practice : Insights from the Princess Maha Chakri Award Teacher & Network, Reimagining Education: Inclusive, Innovative, and Sustainable Futures งานวิจัยประเด็นเทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต การจัดการศึกษาที่มีคุณภาพ การพัฒนาทักษะที่จำเป็นและการศึกษาเพื่อสังคมสีเขียว เมืองแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต สร้างคนให้เรียนรู้ด้วยการศึกษาฉลาดรู้ ภาพอนาคตการศึกษาไทย 


วธ.รับฟังแนวทางกำหนดมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ไทยในประเทศ ส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการอุตสาหกรรม-ดันซอฟต์พาวเวอร์ไทยสู่ตลาดโลกผ่านสื่อบันเทิง

 วธ.รับฟังแนวทางกำหนดมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ไทยในประเทศ ส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการอุตสาหกรรม-ดันซอฟต์พาวเวอร์ไทยสู่ตลาดโลกผ่านสื่อบันเทิง


เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2568 นายประสพ เรียงเงิน ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เข้าร่วมรับฟังแนวทางกำหนดมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ไทยในประเทศ ในการประชุมรับฟังแนวทางกำหนดมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ไทยในประเทศ ซึ่งกระทรวงวัฒนธรรมได้จัดเวทีอภิปรายเเละเเลกเปลี่ยนความคิดเห็นแนวทางกำหนดมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ไทยในประเทศในการส่งเสริมศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมฯ และส่งเสริมการส่งออกซอฟต์พาวเวอร์ไทยผ่านสื่อบันเทิงอย่างภาพยนตร์ไทย โดยมี นางสาวรานี อิฐรัตน์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกองภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ณ ห้องแกลเลอรี 3 ชั้น G หอศิลป์แห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม เเละผ่านระบบ Zoom Meeting






ทั้งนี้ ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ซึ่ง วธ. ในฐานะหน่วยงานหลักในการส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ของประเทศไทยให้มีศักยภาพทัดเทียมระดับสากล เพื่อให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ไทยสามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก เนื่องจากอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยเป็นอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ที่ส่งเสริมภาพลักษณ์ประเทศและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ภายใต้การขับเคลื่อนนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ของรัฐบาล

กรมที่ดินออกมาตรการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยและเหตุปะทะแนวชายแดนไทย – กัมพูชา

 กรมที่ดินออกมาตรการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยและเหตุปะทะแนวชายแดนไทย – กัมพูชา

กรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย ออกมาตรการให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยและเหตุปะทะตามแนวชายแดนไทย – กัมพูชา โดยสนับสนุนสินเชื่อเพื่อฟื้นฟูความเสียหายจากอุทกภัย และมหันตภัย พร้อมให้สิทธิลดหย่อนค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนจำนองเหลือเพียงร้อยละ 0.01 เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน


มาตรการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยและเหตุปะทะตามแนวชายแดนระหว่างไทย - กัมพูชา มีกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยหรือเหตุปะทะแนวชายแดนไทย – กัมพูชา  สำหรับขั้นตอนการดำเนินการประชาชนที่ได้รับความเสียหายสามารถยื่นเรื่องขอหนังสือรับรองสิทธิต่อเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นในพื้นที่ที่เกิดเหตุ ได้แก่

-นายกองค์การบริหารส่วนตำบล

-นายกเทศมนตรี

-นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด

-ปลัดเมืองพัทยา

-ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร

โดยต้องดำเนินการจดทะเบียนจำนองภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ได้รับหนังสือรับรองสิทธิ สามารถใช้ประกอบการยื่นคำขอจดทะเบียนจำนอง ณ สำนักงานที่ดิน พร้อมขอรับสิทธิลดค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนจำนองเหลือร้อยละ 0.01 หากพ้นระยะเวลาดังกล่าว จะหมดสิทธิในการได้รับประโยชน์ตามมาตรการ


กรมที่ดินขอให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบตรวจสอบคุณสมบัติ และดำเนินการภายในระยะเวลาที่กำหนด ทั้งนี้สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานที่ดินใกล้บ้าน หรือ สำนักมาตรฐานการทะเบียนที่ดิน กรมที่ดิน โทร. 0 2141 5763 – 64

...............................................

7  สิงหาคม 2568


“รองนายกฯ ประเสริฐ” สั่งเร่งช่วยชาวแม่ฮ่องสอน – เชียงใหม่ หลังฝนถล่ม​ พร้อมกำชับทุกหน่วยบริหารเขื่อนใหญ่ตามแผนและติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด

 “รองนายกฯ ประเสริฐ” สั่งเร่งช่วยชาวแม่ฮ่องสอน – เชียงใหม่ หลังฝนถล่ม​ พร้อมกำชับทุกหน่วยบริหารเขื่อนใหญ่ตามแผนและติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด

วันนี้ (7 สิงหาคม 2568) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) เปิดเผยว่า จากการติดตามสถานการณ์ฝนตกหนักในภาคเหนือ ได้รับรายงานว่าในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา มีฝนตกหนักในหลายพื้นที่ ได้แก่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน ปริมาณฝน 135 มิลลิเมตร (มม.) อำเภอปางมะผ้า ปริมาณฝน 98 มม. และจังหวัดเชียงใหม่ อำเภอแม่อาย ปริมาณฝน 123 มม. อำเภอฝาง ปริมาณฝน 66 มม. และ อำเภอเชียงดาว ปริมาณฝน 76 มม. ซึ่งฝนที่ตกลงมาจำนวนมากได้ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ตำบลห้วยผาและตำบลปางหมู อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอน รวมถึงอำเภอแม่อาย อำเภอฝาง และอำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ทำให้ประสบปัญหาน้ำป่าไหลหลากเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชนบางส่วน และเกิดอุปสรรคต่อการจราจรในบางพื้นที่ รัฐบาลมีความห่วงใยอย่างยิ่งต่อพี่น้องประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว จึงได้สั่งการให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ พร้อมทั้งระบายน้ำที่ท่วมขังให้กลับสู่สภาวะปกติโดยเร็วที่สุด 


ทั้งนี้ ได้มีการประเมินเส้นทางการไหลของมวลน้ำในแต่ละพื้นที่ เพื่อวางแนวทางการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ โดยมวลน้ำหลากจากจังหวัดแม่ฮ่องสอนจะไหลลงสู่แม่น้ำสาละวิน ขณะที่มวลน้ำจากจังหวัดเชียงใหม่ ในพื้นที่อำเภอแม่อายและอำเภอฝาง จะเคลื่อนผ่านจังหวัดเชียงรายไหลลงสู่แม่น้ำกก โดยไม่กระทบต่อตัวเมืองเชียงราย ก่อนไหลลงสู่แม่น้ำโขงตามลำดับ 

ในส่วนของอำเภอเชียงดาว มวลน้ำจะเคลื่อนผ่านตัวเมืองเชียงใหม่ไหลลงสู่แม่น้ำปิง โดยไม่กระทบต่อตัวเมืองเชียงใหม่ ก่อนไหลลงสู่เขื่อนภูมิพลต่อไป สำหรับเขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก ปัจจุบันมีปริมาณน้ำ 8,642 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) หรือคิดเป็นร้อยละ 64 ของความจุเก็บกัก ยังสามารถรองรับน้ำได้อีก 4,820 ล้าน ลบ.ม. ขณะนี้ได้ควบคุมการระบายน้ำในอัตราประมาณ 5 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน โดยได้สั่งการให้หน่วยงานติดตามประเมินสถานการณ์ของเขื่อนอย่างใกล้ชิด รวมถึงได้เน้นย้ำให้ สทนช. กำกับและติดตามการดำเนินงานตามมาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2568 อย่างเคร่งครัด เพื่อบริหารจัดการเขื่อนขนาดใหญ่ทุกแห่งทั่วประเทศให้เป็นไปตามแผน ลดความเสี่ยงจากอุทกภัยในช่วงฤดูฝนให้ได้มากที่สุด


สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ

7 สิงหาคม 2568


วันพุธที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2568

สมาคมเคมีฯ ร่วมกับ Dow จัด “ห้องเรียนเคมีดาวสัญจร”เปิดบูทเคมีย่อส่วนให้ลองจริง สนุกจริง ในงาน อว.แฟร์ 9-17 ส.ค. นี้

 สมาคมเคมีฯ ร่วมกับ Dow จัด “ห้องเรียนเคมีดาวสัญจร”เปิดบูทเคมีย่อส่วนให้ลองจริง สนุกจริง ในงาน อว.แฟร์ 9-17 ส.ค. นี้

กรุงเทพฯ – 7 สิงหาคม 2568 – สมาคมเคมีแห่งประเทศไทยฯ ร่วมกับกลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย (Dow) ขอเชิญชวนเยาวชน นักเรียน นักศึกษา ครู อาจารย์ ตลอดจนประชาชนทั่วไป ร่วมเยี่ยมชมฟรี! กับบูทกิจกรรม “ห้องเรียนเคมีดาวสัญจร” ที่นำเสนอการสาธิตเคมีแบบย่อส่วนที่ได้รับการยอมรับจากองค์การยูเนสโก ซึ่งเป็นรูปแบบการทดลองที่ปลอดภัย ประหยัด ใช้สารเคมีในปริมาณน้อย ช่วยลดเวลาและของเสียในการทดลอง ทั้งยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สามารถนำไปปรับใช้ได้จริงในโรงเรียนทั่วประเทศ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์อย่างมีประสิทธิภาพ ในงาน “อว.แฟร์ SCI POWER FOR FUTURE THAILAND” ภายใต้ธีม “Creators Of Tomorrow” ซึ่งจัดขึ้นโดยกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ระหว่างวันที่ 9-17 สิงหาคม 2568 เวลา 9.00 – 20.00 น. ณ Exhibition Hall 1–4 ชั้น G ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์


###

รองอธิบดีกรมพัฒน์ ลงพื้นที่ให้กำลังใจเยาวชน ก่อนลุยเวทีอาเซียน มั่นใจคว้าเหรียญกลับบ้าน

 รองอธิบดีกรมพัฒน์ ลงพื้นที่ให้กำลังใจเยาวชน  ก่อนลุยเวทีอาเซียน มั่นใจคว้าเหรียญกลับบ้าน 

วันที่ 6 สิงหาคม 2568 นายเดชา พฤกษ์พัฒนรักษ์  อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน มอบหมายให้นายภัทรวุธ เภอแสละ รองอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เยี่ยมชมการฝึกซ้อม พร้อมให้กำลังใจตัวแทนเยาวชนไทยจำนวน 6 คนใน 3 สาขา ซึ่งเก็บตัวฝึกซ้อม ณ สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 1 สมุทรปราการ ก่อนลุยเวทีอาเซียนในอีก 2 อาทิตย์ข้างหน้า เชื่อมั่นเยาวชนคว้าเหรียญกลับไทยแน่นอน

นายภัทรวุธ เภอแสละ รองอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เปิดเผยหลังให้กำลังใจเยาวชนฯ ว่า ในวันนี้ อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ได้มอบหมายให้เป็นตัวแทนในการเยี่ยมชมการฝึกซ้อม พร้อมให้กำลังใจตัวแทนเยาวชนไทยทั้ง 6 คนใน 3 สาขา ได้แก่ สาขาเทคโนโลยีงานเชื่อม : นายรัชชานนท์ ทิพฤาชา,นายอรรณนพ กันธิยะ  สาขาเทคโนโลยีระบบทำความเย็น : นายนิทัศน์ ถนอมตน, นายศักดิ์สิทธิ์ พิมพ์รัตน์ และสาขาเทคโนโลยีระบบไฟฟ้าภายในอาคาร: นายอนุวัฒณ์ บำขุนทด, นายอมรฤทธฺ์ เชาวิรัตน์ ซึ่งเก็บตัวฝึกซ้อม ณ สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 1 สมุทรปราการ เพื่อเข้าร่วมการแข่งขันฝีมือแรงงานอาเซียน ครั้งที่ 14 (WorldSkills ASEAN Manila 2025) ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 21 - 31 สิงหาคม  2568 ณ ศูนย์การประชุมและแสดงสินค้าเวิร์ลเทรด เซ็นเตอร์ เมโทร กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์

นายภัทรวุธ กล่าวเสริมว่า  จากการพูดคุยกับผู้ฝึกสอนทั้ง 3 สาขา ทำให้ทราบว่า ความยากของการแข่งขันในครั้งนี้ นั่นคือ การไม่ทราบโจทย์ในการแข่งขัน ซึ่งเป็นเรื่องท้าทายของทีมผู้ฝึกสอน และผู้เชี่ยวชาญเป็นอย่างมาก ในการปรับกลยุทธ์ และรูปแบบการสอนให้น้อง ๆ เนื่องจากแต่ละคนมีพื้นฐานไม่เหมือนกัน จึงต้องให้ข้อมูลความรู้ และหาโจทย์ต่าง ๆ มาฝึกซ้อม เพื่อให้น้องได้มีประสบการณ์ ฝึกฝนให้มากที่สุด และมีทักษะที่หลากหลาย สิ่งเหล่านี้จะส่งผลให้น้อง ๆ มีความมั่นใจ ไม่ตื่นตระหนกเมื่ออยู่ในสนามแข่งขัน และสามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ 



ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลา 4 เดือนในการฝึกซ้อม น้อง ๆ ทุกคนทุ่มเท อดทน และฝึกซ้อมกันอย่างหนัก และในขณะนี้น้อง ๆทุกคนมีความพร้อม 100% ในการแข่งขันที่กำลังจะเกิดขึ้น เชื่อมั่นได้ว่า ตัวแทนเยาวชนไทยจะสามารถนำธงไทยไปโบกบนเวทีอาเซียนได้อย่างแน่นอน รองอธิบดีกล่าวทิ้งท้าย

“รองนายกฯ ประเสริฐ” สั่งทุกหน่วยเตรียมรับมือน้ำทะเลหนุนสูง 7 – 13 ส.ค. นี้พื้นที่ กทม. ระดับน้ำยังปกติและเสริมคันกั้นน้ำไว้พร้อม ยืนยันไม่ได้รับผลกระทบแน่นอน

 “รองนายกฯ ประเสริฐ” สั่งทุกหน่วยเตรียมรับมือน้ำทะเลหนุนสูง 7 – 13 ส.ค. นี้พื้นที่ กทม. ระดับน้ำยังปกติและเสริมคันกั้นน้ำไว้พร้อม ยืนยันไม่ได้รับผลกระทบแน่นอน  

วันนี้ (6 สิงหาคม 2568) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) เปิดเผยว่า รัฐบาลได้ติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด เพื่อบริหารจัดการน้ำช่วยป้องกันและลดผลกระทบจากอุทกภัยในช่วงฤดูฝนนี้ต่อพี่น้องประชาชนในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ 

โดยล่าสุดได้รับทราบข้อมูลคาดการณ์น้ำทะเลหนุนสูงบริเวณแม่น้ำเจ้าพระยา ระหว่างวันที่ 7 – 13 สิงหาคม 2568 ในช่วงเวลาประมาณ 18.00 – 21.00 น. อาจส่งผลให้ระดับน้ำบริเวณป้อมพระจุลจอมเกล้า จังหวัดสมุทรปราการ และพื้นที่ใกล้เคียง 

เพิ่มสูงขึ้นถึงประมาณ 1.7 – 2 เมตร จากระดับทะเลปานกลาง ซึ่งสูงกว่าระดับน้ำวิกฤติประมาณ 0.3 เมตร นอกจากนี้ อิทธิพลของมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังอ่อนจะส่งผลให้มีฝนตกในบางพื้นที่ ซึ่งทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำเพิ่มสูงขึ้น จึงคาดว่าในช่วงเวลาดังกล่าว

อาจมีน้ำเอ่อล้นเข้าท่วมบริเวณพื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำท่าจีน และแม่น้ำแม่กลอง รวมถึงชุมชนนอกแนวคันกั้นน้ำ

และแนวเขื่อนชั่วคราวบริเวณที่ไม่มีแนวป้องกันน้ำถาวร (แนวฟันหลอ) บริเวณจังหวัดสมุทรปราการ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี สมุทรสาคร นครปฐม และสมุทรสงคราม จึงได้สั่งการให้ สทนช. ประสานกับจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด พร้อมปรับแผนบริหารจัดการน้ำอ่างเก็บน้ำ เขื่อนระบายน้ำ และประตูระบายน้ำ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ พร้อมทั้งตรวจสอบความมั่นคงของอาคารป้องกันริมแม่น้ำและเสริมคันบริเวณจุดเสี่ยงบริเวณที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำ และเตรียมเครื่องจักร เครื่องมือ ให้มีความพร้อมในการเข้าช่วยเหลือประชาชนได้ทันที รวมทั้งต้องประชาสัมพันธ์ข้อมูลและแจ้งเตือนผู้อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบดังกล่าวได้รับทราบล่วงหน้า เพื่อเตรียมพร้อมรับมือและลดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินให้ได้มากที่สุด


ในส่วนของสถานการณ์น้ำในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ปัจจุบันระดับน้ำของแม่น้ำเจ้าพระยายังคงอยู่ในเกณฑ์ปกติ โดยที่สถานี C.2 อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ มีปริมาณน้ำไหลผ่าน 1,161 ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อวินาที ขณะที่สถานี C.13 

เขื่อนเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท มีปริมาณน้ำไหลผ่าน 700 ลบ.ม. ต่อวินาที โดยศักยภาพของแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณกรุงเทพมหานครสามารถรองรับน้ำได้ถึงประมาณ 2,500 - 3,000 ลบ.ม. ต่อวินาที ซึ่งขณะนี้ที่สถานีสูบน้ำปากคลองตลาด ยังคงมีระดับน้ำต่ำกว่าระดับทะเลปานกลาง ประมาณ 0.45 เมตร และต่ำกว่าระดับเตือนภัย 2.75 เมตร ประกอบกับตั้งแต่หลังเหตุการณ์อุทกภัยเมื่อปี 2554 

ได้มีการเสริมความสูงของคันป้องกันน้ำท่วมริมแม่น้ำเจ้าพระยาในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เพิ่มขึ้นอีกราว 20 – 50 เซนติเมตร 

ดังนั้น ขอให้พี่น้องชาวกรุงเทพมหานครเชื่อมั่นว่ามวลน้ำหลากจากภาคเหนือและน้ำทะเลหนุนสูงในช่วงนี้จะไม่ส่งผลกระทบอย่างแน่นอน


สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ

6 สิงหาคม 2568


สกศ. เจ้าภาพเปิดประชุมวิจัยทางการศึกษา ThaiCER 2025 The Education for the Future

  สกศ. เจ้าภาพเปิดประชุมวิจัยทางการศึกษา ThaiCER 2025 The Education for the Future วันที่ 7-8 สิงหหาคม 2568  รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิกา...