วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

รองนายกฯ สุชาติ ประชุม กทช. ครั้งที่ 2/2568 เคาะเกณฑ์ใช้ประโยชน์ที่ดินป่าชายเลน เพื่อแก้ไขปัญหาการอยู่อาศัยและทำกินของประชาชน

 รองนายกฯ สุชาติ ประชุม กทช. ครั้งที่ 2/2568 เคาะเกณฑ์ใช้ประโยชน์ที่ดินป่าชายเลน เพื่อแก้ไขปัญหาการอยู่อาศัยและทำกินของประชาชน

     วันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ (กทช.) ครั้งที่ 2/2568 โดยมี ดร.ชญานันท์ ภักดีจิตต์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดร.ปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พร้อมด้วยคณะกรรมการฯ และผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล

 


    นายสุชาติ ชมกลิ่น กล่าวว่า การประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งนี้ ได้ร่วมกันพิจารณาเรื่องสำคัญ ได้แก่ (ร่าง) ข้อกำหนด หลักเกณฑ์ มาตรการการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ป่าชายเลนในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และเขตป่า ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2561 โดยพิจารณาการใช้ประโยชน์พื้นที่ในลักษณะแปลงรวม ระยะเวลาในการเข้าอยู่อาศัยและทำกิน เพื่อความเป็นธรรมกับประชาชนที่ได้อยู่อาศัยทำกินในพื้นที่ป่าชายเลนโดยไม่มีเอกสารสิทธิ์ และแก้ไขปัญหาการอยู่อาศัยและทำกินของประชาชนในพื้นที่ป่าชายเลนให้ถูกต้อง เป็นไปตามข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องและสิทธิของผู้ได้รับจัดสรรที่ดิน เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งและข้อพิพาทในภายหลัง คาดว่า จะมีประชาชนได้รับประโยชน์ไม่น้อยกว่า 106,786 ครัวเรือน พร้อมกันนี้ ตน ได้เน้นย้ำให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเร่งดำเนินการและบูรณาการในการทำงานร่วมกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสริมการป้องกันและแก้ไขปัญหาสถานการณ์หญ้าทะเลเสื่อมโทรม พะยูนเกยตื้น และการลักลอบตัดเขี้ยวพะยูนเพื่อการค้า อีกทั้ง ให้กรม ทช. เร่งการขับเคลื่อนการจัดตั้งเขตคุ้มครองทางทะเลโดยชุมชน (LMMAs) เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ประเทศไทยจะต้องมีการคุ้มครองพื้นที่ทางทะเลให้ได้ร้อยละ 30 ภายในปี พ.ศ. 2573 ตามพันธกรณีที่สำคัญ 

    ในที่ประชุม ดร.ปิ่นสักก์ สุรัสวดี ได้รายงานข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งพื้นที่ 24 จังหวัดชายฝั่ง ในรอบ 6 เดือน (พฤษภาคม - ตุลาคม 2568) พบว่า พื้นที่หญ้าทะเลในภาพรวมฝั่งทะเลอันดามัน (จังหวัดระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ และตรัง) มีแนวโน้มลดลง ในขณะที่จังหวัดสตูลมีพื้นที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยรวมแล้วพื้นที่การแพร่กระจายของหญ้าทะเลใน 6 จังหวัดดังกล่าว อยู่ที่ประมาณ 53,000 ไร่ ลดลงจากปี 2567 ประมาณ 6,000 ไร่หรือคิดเป็นการลดลงร้อยละ 10 อย่างไรก็ตาม พบสัญญาณการฟื้นตัวของหญ้าทะเลบางชนิด เช่น หญ้าใบมะกรูด หญ้าชะเงาใบมน และหญ้าชะเงาเต่า ในพื้นที่บ้านสะพานช้างและอ่าวดุหยง (ตรัง) อ่าวน้ำเมา (กระบี่) และเกาะลิดี (สตูล) ส่วนหญ้าคาทะเลยังมีสภาพเสื่อมโทรม ขณะเดียวกันพบว่าการจัดทำคอกกั้นหญ้าทะเลที่อ่าวป่าคลอก จังหวัดภูเก็ต ช่วยให้หญ้าทะเลภายในคอกฟื้นตัวดี ใบยาวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ ยังมีการค้นพบแหล่งหญ้าทะเลน้ำลึกใหม่ในจังหวัดพังงาและตรัง รวมพื้นที่ประมาณ 5,000 ไร่ ซึ่งเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อความหลากหลายของระบบนิเวศหญ้าทะเลในฝั่งอันดามัน และจากข้อมูลการสำรวจพะยูน โดยใช้อากาศยานไร้คนขับ การสัมภาษณ์ และการมีส่วนร่วมของประชาชน ในพื้นที่เกาะลิบงและพื้นที่ใกล้เคียง พบประชากรพะยูนอยู่ที่ 49 – 56 ตัว โดยจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นจากช่วงต้นปี 2568 สำหรับสถานการณ์พะยูนเกยตื้นพบว่า จำนวนการเกยตื้นลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2567 คือ ลดจาก 19 ตัวเป็น 12 ตัว คิดเป็นการลดลงร้อยละ 36 สาเหตุการตายส่วนใหญ่เกิดจากการป่วย และยังพบการลักลอบตัดหัวซากพะยูนในพื้นจังหวัดกระบี่ จำนวน 1 ตัว นอกจากนี้ ได้รายงานการขับเคลื่อนการจัดตั้งเขตคุ้มครองทางทะเลโดยชุมชน (LMMAs) โดยกรม ทช. ได้ร่วมขับเคลื่อนเป้าหมายนี้อย่างเป็นรูปธรรม ผ่านการส่งเสริมพื้นที่คุ้มครองทางทะเลที่จัดการโดยชุมชน  ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของภาพรวมการบริหารจัดการพื้นที่ทางทะเลของประเทศ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมาย 30×30 ได้อย่างมีส่วนร่วมและยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการดำเนินงานร่วมกับองค์กรต่างๆ


    ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบ (ร่าง) ข้อกำหนด หลักเกณฑ์ มาตรการการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ป่าชายเลน ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และในเขตป่า ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2561 จำนวน 2 ฉบับ โดยมอบหมายให้กรม ทช. ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง และปรับปรุงระเบียบกรมฯ ดังนี้ 1) ระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการเก็บรักษา และการใช้จ่ายเงินค่าบริการ หรือค่าตอบแทน เพื่อบำรุงรักษาป่าชายเลนในเขตป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2566 2) ระเบียบว่าด้วยการเก็บค่าบริการหรือค่าตอบแทนสำหรับการที่พนักงานเจ้าหน้าที่ให้บริการ พ.ศ. 2566 รวมถึงขอความเห็นชอบกระทรวงการคลัง กรณี ไม่นำเงินรายได้ หรือเงินอื่นใดส่งคลัง / หรือบางส่วนพร้อมทั้ง เห็นชอบการปรับปรุงองค์ประกอบ หน้าที่และอำนาจ ตาม (ร่าง) คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหาในพื้นที่พระราชนิเวศน์มฤคทายวันฯ โดยให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งดำเนินการเสนอคำสั่งดังกล่าวต่อประธานกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ เพื่อโปรดพิจารณาลงนาม ต่อไป


DMT รับมอบใบประกาศนียบัตรรับรอง “โครงการ Tollway Better Way อบรมส่งเสริมสนับสนุนสร้างอาชีพให้กับประชาชนเขตหลักสี่ และเขตดอนเมือง”

 DMT รับมอบใบประกาศนียบัตรรับรอง “โครงการ Tollway Better Way อบรมส่งเสริมสนับสนุนสร้างอาชีพให้กับประชาชนเขตหลักสี่ และเขตดอนเมือง” 

บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) หรือ DMT ได้รับมอบใบประกาศนียบัตรรับรอง “โครงการ Tollway Better Way อบรมส่งเสริมสนับสนุนสร้างอาชีพให้กับประชาชนเขตหลักสี่ และเขตดอนเมือง” จากสถาบันไทยพัฒน์ โดยมี ดร.ศักดิ์ดา พรรณไวย กรรมการผู้จัดการบริษัทฯ เป็นผู้แทนรับมอบจาก อาจารย์วรณัฐ เพียรธรรม ผู้อำนวยการสถาบันไทยพัฒน์

โครงการ Tollway Better Way อบรมส่งเสริมสนับสนุนสร้างอาชีพให้กับประชาชนเขตหลักสี่ และเขตดอนเมือง ถือเป็นโครงการนำร่องที่มุ่งสร้างโอกาสทางอาชีพให้กับประชาชนกลุ่มเปราะบางและผู้สูงอายุในพื้นที่ชุมชนโดยรอบ ให้ได้รับการอบรมทักษะอาชีพและสนับสนุนให้เกิดการสร้างรายได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน

ทั้งนี้ โครงการดังกล่าว ได้รับการประเมินผลกระทบทางสังคมด้วยเครื่องมือ SIF (Social Impact Footprint) ซึ่งสอดคล้องกับมาตรฐานสากล GRI (Global Reporting Initiative) สะท้อน “มูลค่าทางสังคม” ที่ DMT ส่งมอบให้แก่ชุมชนอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน

DMT เตรียมนำแนวทางการประเมินผลกระทบทางสังคมด้วยเครื่องมือ SIF ที่ใช้ในโครงการนี้ ไปประยุกต์ใช้กับกิจกรรมเพื่อสังคมรูปแบบอื่นๆ ในอนาคต เพื่อยกระดับการออกแบบและบริหารโครงการให้สามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกที่ยั่งยืนมากยิ่งขึ้น


พาณิชย์ หารือ 4 สมาคมข้าวและพืชไร่ รับฟังปัญหา ข้อเสนอแนะ เตรียมมาตรการดูแลราคาข้าวและพืชผลทางการเกษตร ก่อนเข้า นบข. 18 พ.ย.นี้

 พาณิชย์ หารือ 4 สมาคมข้าวและพืชไร่ รับฟังปัญหา ข้อเสนอแนะ เตรียมมาตรการดูแลราคาข้าวและพืชผลทางการเกษตร ก่อนเข้า นบข. 18 พ.ย.นี้


วันที่ 13 พฤศจิกายน 2568  ณ ห้องกิติยากรวรลักษณ์ ชั้น 4 สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้หารือร่วมกับ 4 สมาคมภาคการเกษตร ได้แก่ สมาคมโรงสีข้าวไทย สมาคมโรงสีข้าวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย และสมาคมการค้าพืชไร่ โดยมีนายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน และคณะผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ เข้าร่วม เปิดโอกาสรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะอย่างเต็มที่ โดยมีการขอให้รัฐบาลเร่งช่วยเหลือด้านแหล่งน้ำ เมล็ดพันธุ์ ต้นทุนการผลิต ( ปุ๋ย ยาปราบฯ น้ำมัน) และหาตลาดรองรับผลผลิต และมาตรการอื่นๆ

นางศุภจี กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ขอขอบคุณตัวแทนทั้ง 4 สมาคมที่ร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูลและข้อเสนอแนะในประเด็นสำคัญเกี่ยวกับข้าวและพืชไร่ ซึ่งจะนำไปประกอบการพิจารณาในที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (นบข.) วันที่ 18 พฤศจิกายนนี้ เพื่อจัดทำมาตรการเพิ่มเติมที่เหมาะสม สมดุลและตอบโจทย์ทุกภาคส่วน 

นางศุภจี ระบุว่า กระทรวงพาณิชย์ได้รับฟังข้อมูลและข้อเสนอจากทุกภาคส่วนอย่างรอบด้าน เพื่อนำไปกำหนดแนวทางดูแลชาวนา ชาวไร่ และผู้ประกอบการในห่วงโซ่การผลิตให้ครอบคลุม รวมถึงได้หารือแนวทางให้เกษตรกรบางส่วนทดลองปลูกพืชทดแทนในพื้นที่ที่เหมาะสม พร้อมหาแนวทางสนับสนุนด้านเงินทุน เพื่อช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มผลผลิตต่อไร่ให้สูงขึ้น




ทั้งนี้ ปีนี้มีปริมาณข้าวเปลือกส่วนเกินในตลาดราว 3–4 ล้านตันข้าวเปลือก กระทรวงพาณิชย์เตรียมมาตรการดูดซับผลผลิตออกจากระบบ เช่น การผลิตข้าวถุงเพื่อจำหน่ายผ่านหน่วยงานรัฐต่างๆภายในประเทศ รวมทั้งเร่งผลักดันการเจรจาส่งออกข้าวแบบรัฐต่อรัฐ เพื่อระบายผลผลิตออกสู่ตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ จากการหารือกับสมาคมการค้าพืชไร่ ได้มีข้อเสนอให้คงมาตรการในการกำหนด ราคารับซื้อ ข้าวโพดสด (ความชื้น 30%) ราคา 7.05 บาท/กก. และข้าวโพดแห้ง (ความชื้น 14.5%)  ณ หน้าโรงงานอาหารสัตว์ ในพื้นที่ กทม. และปริมณฑล ราคา 9.80 บาท/กก. รวมถึงกำกับการรับซื้อโรงงานอาหารสัตว์ ให้มีความคล่องตัว  ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้สั่งการให้กรมการค้าภายใน และสำนักงานพาณิชย์จังหวัด กำกับดูแลการรับซื้ออย่างเข้มข้น ตรวจสอบการรับซื้อหากพบการรับซื้อที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไข และไม่เป็นธรรม จะดำเนินการอย่างเด็ดขาดต่อไป

วันพุธที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ มอบรางวัล Thailand Franchise Award 2025 ยกย่อง 10 สุดยอดแฟรนไชส์ไทย สร้างความเชื่อมั่นผู้บริโภคและนักลงทุน ยกระดับ SME ไทยขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก

 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ มอบรางวัล Thailand Franchise Award 2025 ยกย่อง 10 สุดยอดแฟรนไชส์ไทย สร้างความเชื่อมั่นผู้บริโภคและนักลงทุน ยกระดับ SME ไทยขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก



กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า จัดพิธีประกาศผลและมอบรางวัลธุรกิจแฟรนไชส์ไทยประจำปี 2568 “Thailand Franchise Award 2025 : TFA 2025” เพื่อยกย่องและเชิดชูเกียรติผู้ประกอบธุรกิจแฟรนไชส์ไทยที่มีความเป็นเลิศด้านการบริหารจัดการ มีมาตรฐานเทียบเท่าสากล และเป็นแบบอย่างของผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่ต้องการสร้างแบรนด์แฟรนไชส์ให้เป็นที่ยอมรับทั้งในและต่างประเทศ


วันที่ 12 พฤศจิกายน 2568 นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานมอบรางวัลและกล่าวแสดงความยินดีต่อผู้ประกอบการแฟรนไชส์ที่ได้รับรางวัลว่า งานมอบรางวัล Thailand Franchise Award ถือเป็นเวทีสำคัญในการค้นหาและยกย่องธุรกิจแฟรนไชส์ที่มีมาตรฐาน มีความโดดเด่นในแต่ละด้าน เพื่อส่งเสริมการตลาดและสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคและผู้สนใจลงทุน อีกทั้งยังเป็นการเชิดชูเกียรติและเผยแพร่ต้นแบบธุรกิจแฟรนไชส์ไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล


ธุรกิจแฟรนไชส์ถือเป็นกลไกสำคัญของเศรษฐกิจไทยที่สร้างมูลค่าทางการตลาดกว่า 300,000 ล้านบาทต่อปี และมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 15–20% ต่อปี โดยผู้ซื้อแฟรนไชส์สามารถสร้างอาชีพได้แม้ไม่มีประสบการณ์มาก่อน ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการเริ่มต้นธุรกิจ เพราะโมเดลธุรกิจแฟรนไชส์เป็นระบบที่ผ่านการพิสูจน์แล้วว่าสามารถดำเนินการได้จริงและประสบความสำเร็จ

ขอบคุณกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ที่มีบทบาทสำคัญในการยกระดับมาตรฐานธุรกิจแฟรนไชส์ไทย ถือเป็นโครงการที่ช่วยเสริมสร้างทักษะให้กับผู้ประกอบธุรกิจไม่เฉพาะ SME แต่รวมไปถึง MSME ด้วย และกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ที่ช่วยผลักดันให้สามารถขยายไปยังต่างประเทศได้ด้วย ปัจจุบันแฟรนไชส์ไทยขยายสาขาไปแล้วกว่า 30 ประเทศทั่วโลก ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพและความแข็งแกร่งของผู้ประกอบการไทยอย่างแท้จริง” รมว.ศุภจีกล่าว

ในปี 2568 มีธุรกิจแฟรนไชส์สมัครเข้าร่วมประกวดรวม 39 แบรนด์ โดยผ่านเกณฑ์คัดเลือกเข้ารอบสุดท้าย 23 แบรนด์ และได้รับการพิจารณาอย่างเข้มข้นจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จนได้ผู้ชนะเลิศรวม 10 แบรนด์ ที่ได้รับโล่รางวัลอันทรงเกียรติและประกาศเกียรติคุณในฐานะต้นแบบธุรกิจแฟรนไชส์ไทย

การมอบรางวัลแบ่งออกเป็น 5 ประเภท รวม 13 รางวัล ได้แก่

  1.รางวัลธุรกิจแฟรนไชส์ไทยยอดเยี่ยมตามขนาด (3 รางวัล)

  2.รางวัลธุรกิจแฟรนไชส์ไทยยอดเยี่ยมรายอุตสาหกรรม (5 รางวัล)

  3.รางวัลธุรกิจแฟรนไชส์ไทยที่มีความโดดเด่นเฉพาะด้าน (2 รางวัล)

  4.รางวัลธุรกิจแฟรนไชส์ต่างประเทศ (1 รางวัล)

  5.รางวัลสุดยอดแฟรนไชส์ไทยแห่งปี (2 รางวัล)

ขอแสดงความยินดีและชื่นชมผู้ประกอบการแฟรนไชส์ทุกแบรนด์ที่ได้รับรางวัลในปีนี้ รางวัลที่ได้รับถือเป็นเครื่องหมายแห่งความสำเร็จ และสามารถนำไปใช้ในการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้ต่อสาธารณชน รวมทั้งยังได้รับสิทธิ์เข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการตลาดกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าและหน่วยงานพันธมิตร ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ประกอบการรายอื่นมุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ของตนให้มีมาตรฐานและความโดดเด่นมากยิ่งขึ้น” รมว.พาณิชย์ กล่าว

ผู้สนใจลงทุนในธุรกิจแฟรนไชส์ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ http://franchise.dbd.go.th และสอบถามข้อมูลได้ที่กองส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า โทรศัพท์หมายเลข 0 2547 5953 และสายด่วน 1570

#SuperDBD #กรมพัฒนาธุรกิจการค้า #กระทรวงพาณิชย์

****************************************

ที่มา : กองส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า​ ฉบับที่ 39 / วันที่ 12 พฤศจิกายน 2568

“Rock Winter 90s” จุดไฟร็อกกลางลมหนาวที่ภูน้ำผึ้ง หัวหิน เสียงกรี๊ดสนั่นทั้งคืน!

 “Rock Winter 90s” จุดไฟร็อกกลางลมหนาวที่ภูน้ำผึ้ง หัวหิน เสียงกรี๊ดสนั่นทั้งคืน!




เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา บรรยากาศของ ภูน้ำผึ้ง หัวหิน ได้ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นเวทีแห่งความทรงจำในงาน “Rock Winter 90s” งานดนตรีสุดยิ่งใหญ่ที่พาเหล่าคนรักเพลงร็อกยุค 90s กลับไปสัมผัสอารมณ์สุดคลาสสิกอีกครั้ง ท่ามกลางอากาศเย็นสบายและวิวภูเขาสุดโรแมนติก




บนเวทีเต็มไปด้วยพลังจากศิลปินขวัญใจตลอดกาล นำโดย พี่เหน่ง Y Not 7, พี่แมว จิรศักดิ์ ปานพุ่ม, พี่ปู แบล็คเฮด, พี่เสือ ธนพล อินทฤทธิ์, พี่กบ Taxi, พี่อิ้ด วง Fly พร้อมด้วยศิลปินรุ่นใหม่ไฟแรงอย่าง 7Days Crazy, The Hipster และ ละมัย ที่มาร่วมสร้างสีสันให้ค่ำคืนนั้นเต็มไปด้วยความสนุกและความทรงจำไม่รู้ลืม


แสง สี เสียง ถูกจัดเต็มสมชื่อ “Rock Winter” เสียงร้องและกีตาร์ที่คุ้นเคยทำให้ผู้ชมหลายพันคนร้องตามกันได้ทุกท่อน แฟนเพลงบางคนสวมเสื้อวงร็อกวินเทจ ยกมือชูป้ายไฟ สร้างภาพบรรยากาศที่อบอุ่นและเป็นกันเองสุด ๆ

ตลอดทั้งงาน เต็มไปด้วยพลังแห่งมิตรภาพ เสียงหัวเราะ และความสุขของคนรักเพลงร็อกยุค 90s ที่มารวมตัวกันอีกครั้งในค่ำคืนสุดพิเศษ งานนี้ไม่เพียงแต่ทำให้หัวหินกลับมามีชีวิตชีวา แต่ยังตอกย้ำว่า “ร็อกไม่มีวันตาย” อย่างแท้จริง

ทส. จับมือ ซีพี แอ็กซ์ตร้า ลงนาม MOU “อาหารเพื่อสัตว์ป่า” ส่งต่ออาหารส่วนเกินสู่ความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติ

 ทส. จับมือ ซีพี แอ็กซ์ตร้า ลงนาม MOU “อาหารเพื่อสัตว์ป่า” ส่งต่ออาหารส่วนเกินสู่ความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติ

วันนี้ (12 พฤศจิกายน 2568) เวลา 13.30 น. นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) “โครงการอาหารเพื่อสัตว์ป่า” ระหว่าง บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) กับ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช พร้อมร่วมพิธีรับมอบอาหารส่วนเกิน (Food Surplus) ณ สถานีเพาะเลี้ยงนกน้ำบางพระ จังหวัดชลบุรี โดยมี นายวีระ ขุนไชยรักษ์ รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กล่าวต้อนรับและย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือจากภาคเอกชนในการนำอาหารส่วนเกินมาจัดสรรเป็นอาหารสำหรับสัตว์ป่าในพื้นที่ต่าง ๆ ขณะที่ นางศิริพร เดชสิงห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงเจตนารมณ์ของบริษัทในการขับเคลื่อนแนวคิด “Zero Food Waste” และบริหารจัดการอาหารส่วนเกินให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศ




ทั้งนี้ ก่อนเริ่มพิธี นายสุชาติ ชมกลิ่น ได้นำคณะผู้บริหารและผู้แทนหน่วยงานร่วมยืนสงบนิ่งถวายความอาลัยและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เป็นเวลา 1 นาที จากนั้นได้รับมอบอาหารส่วนเกินจากรถขนส่งของบริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า ซึ่งได้นำส่งมายังสถานีเพาะเลี้ยงนกน้ำบางพระ เพื่อเตรียมจัดเป็นอาหารให้แก่สัตว์ป่า พร้อมเยี่ยมชมการดำเนินงานของสถานีฯ และให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน 








รองนายกฯ สุชาติ ได้กล่าวขอบคุณกรมอุทยานฯ และภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน ความร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นหมุดหมายสำคัญของประเทศไทย ในการจัดการอาหารส่วนเกินอย่างยั่งยืน เพื่อบรรเทาผลกระทบจากวิกฤตโลกร้อน อาหารส่วนเกินอาจดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กในชีวิตประจำวัน แต่แท้จริงแล้วเป็นปัญหาใหญ่ระดับโลกที่ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตของผู้คน รัฐบาลจึงให้ความสำคัญ โดยประกาศให้ปี 2568 เป็น ‘ปีแห่งการเริ่มต้นรณรงค์ลดขยะอาหารของประเทศไทย’ เพื่อวางรากฐานสู่การลดขยะอาหารลงอย่างน้อยร้อยละ 50 ภายในปี 2573 ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ ในส่วนของกระทรวงทรัพยากรฯ ได้ส่งเสริมให้อุทยานแห่งชาติทั้ง 118 แห่งทั่วประเทศ ดำเนินการจัดการขยะอาหารอย่างเป็นระบบ ด้วยแนวทาง 3R คือ Reduce – Reuse – Recycle รวมถึงสร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนในการนำอาหารส่วนเกินที่ยังบริโภคได้มาบริจาคเพื่อเป็นอาหารสัตว์ป่าในสถานีเพาะเลี้ยงและศูนย์ช่วยเหลือสัตว์ป่า 27 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งเป็นตัวอย่างของ “เศรษฐกิจหมุนเวียน” ที่เปลี่ยนของเหลือทิ้งให้กลายเป็นทรัพยากร และช่วยดูแลสัตว์ป่าไปพร้อมกัน ทั้งยังเชื่อมโยงไปสู่การจัดการขยะเพื่อการลดก๊าซเรือนกระจกตามเป้าหมาย Net Zero Emissions ที่รัฐบาลตั้งไว้ในปี ค.ศ. 2050 


รองนายกฯ สุชาติ ประชุม กทช. ครั้งที่ 2/2568 เคาะเกณฑ์ใช้ประโยชน์ที่ดินป่าชายเลน เพื่อแก้ไขปัญหาการอยู่อาศัยและทำกินของประชาชน

  รองนายกฯ สุชาติ ประชุม กทช. ครั้งที่ 2/2568 เคาะเกณฑ์ใช้ประโยชน์ที่ดินป่าชายเลน เพื่อแก้ไขปัญหาการอยู่อาศัยและทำกินของประชาชน      วันที่ ...