วันพุธที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

ครบรอบ 40 ปี CHANGAN ผู้นำแห่งโลกเทคโนโลยียานยนต์ มุ่งสู่อนาคตด้วยนวัตกรรมใหม่และการพัฒนาเพื่อความยั่งยืน

 ครบรอบ 40 ปี CHANGAN ผู้นำแห่งโลกเทคโนโลยียานยนต์ มุ่งสู่อนาคตด้วยนวัตกรรมใหม่และการพัฒนาเพื่อความยั่งยืน

CHANGAN Automobile ประกาศความสำเร็จครบรอบ 40 ปี ในฐานะผู้นำอันดับหนึ่งด้านการผลิตยานยนต์อัจฉริยะ และผู้นำเทคโนโลยีล้ำสมัยแห่งอนาคตที่ได้รับการยอมรับจากลูกค้าทั่วโลกกว่า 26 ล้านคน พร้อมทั้งยืนยันความมุ่งมั่นในการพัฒนาและวิจัยเทคโนโลยีและนวัตกรรมยานยนต์ใหม่ ๆ ใน 6 ประเทศทั่วโลก โดยมีบุคลากรนักวิจัยชั้นนำคิดค้นและพัฒนาด้านเทคโนโลยีมากกว่า 18,000 คนจาก 30 ประเทศ เป้าหมายเพื่อผลิตยานยนต์แห่งอนาคตที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ เน้นความปลอดภัย รักษ์โลกและสิ่งแวดล้อม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง


นายเซิน ซิงหัว กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฉางอาน ออโต้ เซ้าท์อีส เอเชีย จำกัด กล่าวว่า “นับเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของ CHANGAN Automobile ที่สามารถยืนหยัดพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมการผลิตยานยนต์อัจฉริยะ ซึ่งตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ เน้นความปลอดภัย รักษ์โลก และสิ่งแวดล้อม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ตลอดระยะเวลา 40 ปีที่ผ่านมา เราได้ยึดหลักการ ‘Customer-Centric’ โดย "ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง" และมุ่งเน้นสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า เพื่อนำสิ่งที่ลูกค้าต้องการมาพัฒนาและผลิตรถยนต์ที่มีคุณภาพสูง ปลอดภัย ทันสมัย ประหยัดพลังงาน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งทำให้ CHANGAN Automobile ได้รับความเชื่อถือ ไว้วางใจ และยอมรับจากลูกค้าทั่วโลก

CHANGAN Automobile ได้ลงทุนสร้างสนามทดสอบ Dianjiang ด้วยเงินทุนเกินกว่า 3 พันล้านหยวน ซึ่งเป็นสนามทดสอบที่ใหญ่และแม่นยำที่สุดในเอเชีย และเป็นสนามทดสอบครบวงจรที่มีภูมิประเทศเป็นเนินเขาแห่งเดียวในประเทศจีน สนามนี้มีการทดสอบรถยนต์ประมาณ 4,500 คันต่อปี ครอบคลุมระยะทางกว่า 20 ล้านกิโลเมตรต่อปี เทียบเท่ากับการวนรอบโลก 500 รอบ รถยนต์ทุกคันของ CHANGAN ผ่านการทดสอบในสภาพการใช้งานจริงอย่างเข้มงวด ครอบคลุมระยะทางเกือบ 5 ล้านกิโลเมตร บนพื้นผิวถนนต่าง ๆ รวมถึงการทดสอบในสภาพอากาศหนาวจัด ร้อนจัด และพื้นที่สูง ซึ่งจำลองการใช้งานของลูกค้าเป็นเวลา 10 ปี และระยะทาง 260,000 กิโลเมตร


นายเซิน ซิงหัว กล่าวเพิ่มเติมว่า ด้วยประสบการณ์ในการผลิตรถยนต์กว่า 40 ปี CHANGAN Automobile ได้สร้างระบบการทดสอบคุณภาพที่เข้มงวด ผ่านการวิจัยและพัฒนาอย่างอิสระ ซึ่งทำให้เราประสบความสำเร็จในด้านคุณภาพอย่างก้าวกระโดด โดยในปัจจุบัน เรามุ่งมั่นในการพัฒนาและวิจัยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ใหม่ ๆ ใน 6 ประเทศทั่วโลก โดยบุคลากรนักวิจัยชั้นนำกว่า 18,000 คนจาก 30 ประเทศ เป้าหมายเพื่อผลิตยานยนต์แห่งอนาคตที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ เน้นความปลอดภัย รักษ์โลกและสิ่งแวดล้อม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตในอนาคต

นอกจากนี้ บริษัทมีห้องปฏิบัติการสำคัญระดับชาติด้านเทคโนโลยีความปลอดภัยของยานยนต์อัจฉริยะ ที่ได้พัฒนาเทคโนโลยีสำคัญกว่า 2,251 รายการ เพื่อการขับขี่อัจฉริยะขั้นสูง ศูนย์วิจัยและทดสอบของ CHANGAN ได้รับรางวัลอันดับหนึ่ง 7 ครั้งในช่วง 14 ปีที่ผ่านมา สำหรับภูมิประเทศและสภาพอากาศเฉพาะของประเทศไทย รถยนต์ภายใต้แบรนด์ DEEPAL ได้ผ่านการทดสอบอย่างเข้มงวด เพื่อให้มั่นใจในการใช้งานที่ปราศจากความกังวลสำหรับลูกค้าของเรา


Sinergia Animal องค์กรพิทักษ์สัตว์นานาชาติ ระดมนักกิจกรรมกว่า 44 ชีวิตจาก 6 ประเทศ ปกป้องสวัสดิภาพสัตว์ในฟาร์มอุตสาหกรรมรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมให้สัตว์ ณ ลานคนเมือง กรุงเทพ

 Sinergia Animal องค์กรพิทักษ์สัตว์นานาชาติ ระดมนักกิจกรรมกว่า 44 ชีวิตจาก 6 ประเทศ ปกป้องสวัสดิภาพสัตว์ในฟาร์มอุตสาหกรรมรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมให้สัตว์ ณ ลานคนเมือง กรุงเทพ เร่งสร้างความตระหนักรู้และส่งเสริมให้คนบริโภคอาหารอย่างมีจริยธรรม

กรุงเทพฯ, 31 กรกฎาคม 2567 Sinergia Animal (ซิเนอร์เจีย แอนนิมอล) องค์กรพิทักษ์สัตว์ระดับนานาชาติจากบราซิล ระดมนักกิจกรรมกว่า 44 ชีวิตจาก 6 ประเทศ ได้แก่ บราซิล อาร์เจนตินา โคลอมเบีย ชิลี อินโดนีเซีย และประเทศไทย ร่วมรณรงค์เชิงสัญลักษณ์ ณ ลานคนเมือง ใจกลางกรุงเทพฯ แสดงจุดยืนเพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้สัตว์ในระบบผลิตอาหาร เผยความจริงอันโหดร้ายที่สัตว์ฟาร์มต้องเผชิญพร้อมสร้างความตระหนักรู้และส่งเสริมให้ประชาชนเลือกบริโภคอาหารอย่างมีความเห็นอกเห็นใจและมีเมตตาสัตว์ต่างๆ ในกลุ่มประเทศ Global South อย่างประเทศไทย



คุณแคโรลิน่า กาลวานี (Carolina Galvani) นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิสัตว์จากบราซิล ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการ Sinergia Animal เปิดเผยว่ากิจกรรมในครั้งนี้จะช่วยย้ำเตือนให้ทุกคนตระหนักว่าความทุกข์ของสัตว์ในฟาร์มนั้นไม่มีพรมแดน เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องตระหนัก และมีความรับผิดชอบร่วมกัน โดยไม่มองข้ามข้อเท็จจริงของระบบการเลี้ยงสัตว์ทุกชนิดในอุตสาหกรรมอาหารและหันมาเลือกบริโภคอาหารที่มีเมตตากว่า ซิเนอร์เจีย แอนนิมอล เรียกร้องให้มีมนุษยธรรมกับสัตว์ในระบบผลิตอาหารและเปลี่ยนแปลงระบบการเลี้ยงให้มีสวัสดิภาพที่ดีขึ้น มากกว่าการคำนึงถึงเป้าหมายความสำเร็จทางธุรกิจเป็นสำคัญ  

“ดิฉันรู้สึกประทับใจในความพยายามของทุกภาคส่วน ที่ร่วมกันเป็นกระบอกเสียงในการเรียกร้องความสนใจต่อชะตากรรมของสัตว์ในฟาร์มที่มากกว่าแค่สัตว์ในบราซิล โดยเฉพาะสัตว์ในประเทศไทย และในกลุ่มประเทศ Global South การขยายกิจกรรมมายังประเทศไทยแสดงถึงความมุ่งมั่นของเราในการแก้ไขปัญหาสวัสดิภาพสัตว์ในระดับโลก เรามุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกับชุมชนท้องถิ่นเพื่อส่งเสริมการเลือกรับประทานอาหารอย่างมีเมตตาและยั่งยืน”


ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ผลิตไข่ไก่มากที่สุดในเอเชีย ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงการเติบโตของอุตสาหกรรมการเกษตรของประเทศ อย่างไรก็ตามการผลิตที่เพิ่มขึ้นอย่างมากมาพร้อมกับความทุกข์ของแม่ไก่นับล้านที่ต้องใช้ชีวิตในกรง จึงเป็นหน้าที่ขององค์กรที่จะต้องแน่ใจว่าวิธีที่ใช้ในการผลิตอาหารนั้นมีมนุษยธรรมและมีจริยธรรมโดยคำนึงถึง คน สัตว์ และสาธารณสุข



  สิ่งที่ Sinergia Animal มีเป้าหมายที่จะดำเนินการให้ถึงเป้าหมายสูงสุด คือ การเชิญชวนบริษัทและผู้ผลิตทั่วประเทศไทยให้เข้าร่วมการเคลื่อนไหวเพื่อการเปลี่ยนแปลง โดยใช้แนวทางปฏิบัติในการปรับปรุงสวัสดิภาพสัตว์ อาทิ การเลี้ยงไก่แบบไร้กรงขัง เพื่อให้แม่ไก่ได้สามารถแสดงพฤติกรรมต่าง ๆ ตามธรรมชาติ มีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไม่แออัด ซึ่งเป้าหมายแห่งความสำเร็จคือการเป็นผู้นำทางความคิด และเป็นตัวอย่างให้บริษัทอื่นปฏิบัติตามในการสร้างห่วงโซ่อุปทานที่มีมนุษยธรรมมากขึ้น ปัจจุบันผู้บริโภคเริ่มตระหนักถึงแหล่งที่มาของอาหารมากขึ้น และมีความต้องการผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับหลักปฏิบัติที่มีมนุษยธรรมและยั่งยืนเพิ่มมากขึ้น การเปิดตลาดเพื่อรองรับไข่แบบไร้กรง (Cage-free eggs) ของกลุ่มธุรกิจค้าปลีกต่างๆ หรือแม้แต่ในกลุ่มผู้ผลิตอาหารทุกประเภท ไม่เพียงช่วยเพิ่มชื่อเสียงของแบรนด์ แต่ยังช่วยให้อุตสาหกรรมการเกษตรของประเทศมีอนาคตที่สดใสยิ่งขึ้นอีกด้วย 

  “เรามาที่นี่ในวันนี้เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนลงมือทำและแสดงให้เห็นว่าทุกการตัดสินใจของเรานั้นส่งผลกระทบต่อชีวิตในทุกมิติ ขณะเดียวกันเราก็เร่งเดินหน้าบรรเทาความทุกข์ของสัตว์ในกระบวนการผลิตอาหาร เพื่อลด ละ เลิก การบริโภคผลิตภัณฑ์จากสัตว์ โดยการสนับสนุนให้เกิดการเลือกกินอาหารที่ไร้เนื้อสัตว์ หันมาบริโภคอาหารจากพืช (Plant-based diet) ที่กำลังได้รับความสนใจและมีพัฒนาการที่ดีในวงการผลิตอาหาร ซึ่งอาหารจากกลุ่มที่ทำจากพืชนี้ สามารถรังสรรค์ให้มีลักษณะใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์ รวมถึงมีคุณค่าทางโภชนากรสูงเทียบเท่ากับการบริโภคเนื้อสัตว์ตามความต้องการในแต่ละมื้อ ซึ่งถือว่าเป็นหมุดหมายที่ดีของการเริ่มต้น และ อาหารจากพืชนี้ กำลังได้รับความสนใจจากคนทั่วโลก ดังนั้นเมื่อทุกภาคส่วนร่วมมือกัน เราก็จะสามารถสร้างอนาคตที่จะทำให้สัตว์ได้รับการปฏิบัติอย่างยุติธรรม เพื่อโลกที่ไม่มีใครถูกทำร้ายในการผลิตอาหาร” คุณแคโรลิน่า กล่าวทิ้งท้าย 


  ขอเชิญชวนทุกท่านร่วมเป็นพลังในการขับเคลื่อนและเป็นส่วนหนี่งของการเคลื่อนไหวนี้ได้โดยไปที่เว็บไซต์และลงทะเบียนเพื่อรับข้อมูลอัปเดตหรือเป็นอาสาสมัครได้ที่ www.sinergiaanimalthailand.org

หรือติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook : Sinergia Animal Thailand

******************************************************************

เกี่ยวกับ Sinergia Animal (ซิเนอร์เจีย แอนนิมอล)

Sinergia Animal  ก่อตั้งในปี 2017 โดย Carolina Galvani  นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิสัตว์ที่มีชื่อเสียงและเคยทำงานใน 30 ประเทศในฐานะนักข่าวสืบสวนให้กับองค์กรไม่แสวงผลกำไร (NGO)  ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา Sinergia Animal  ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในองค์กรพิทักษ์สัตว์ที่มีประสิทธิภาพที่สุดในโลกติดต่อกันมาเป็นเวลา 6 ปี โดยได้รับการจัดอันดับจาก Animal Charity Evaluators องค์กรมีการดำเนินงานในประเทศต่าง ๆ เช่น อาร์เจนตินา บราซิล ชิลี โคลอมเบีย และอินโดนีเซีย รวมทั้งประเทศไทย โดยมุ่งเน้นการเพิ่มพูนความรู้เกี่ยวกับการเลือกรับประทานอาหารอย่างมีจริยธรรม

นอกจากนี้ Sinergia Animal ยังทำงานกับนักเคลื่อนไหวในประเทศที่มักถูกมองข้ามในขบวนการสนับสนุนสัตว์ เช่น ประเทศไทย อินโดนีเซีย โคลอมเบีย และเอกวาดอร์ ซึ่งองค์กรได้รับการสนับสนุนจากบริษัทใหญ่ ๆ มากกว่า 170 แห่งเพื่อให้ใช้ไข่ที่มาจากไก่ที่ไม่ได้ถูกขังและเนื้อหมูจากหมูที่ไม่ได้ถูกขังในกรงเล็ก ๆ โดยมีบริษัทที่เข้าร่วม ได้แก่ เครือข่ายซูเปอร์มาร์เก็ต Cencosud ในลาตินอเมริกา กลุ่ม Central Retail Food Group ในประเทศไทย และ Ismaya ผู้ดำเนินการร้านอาหารในอินโดนีเซีย เป็นต้น


UNPKFC จัดงาน Gala Night ฉลองความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ผ่านพ้นไปด้วยดี และประสบความสำเร็จอย่างงดงาม กับงานโครงการ GLOBAL SPACE LEADERSHIP PROGRAM ภายใต้คอนเซปการเข้าถึงอวกาศสำหรับทุกคน Space Access for All ให้กับเยาวชนไทยจำนวน 3,000 คน

 UNPKFC จัดงาน Gala Night ฉลองความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ผ่านพ้นไปด้วยดี และประสบความสำเร็จอย่างงดงาม กับงานโครงการ GLOBAL SPACE LEADERSHIP PROGRAM ภายใต้คอนเซปการเข้าถึงอวกาศสำหรับทุกคน Space Access for All ให้กับเยาวชนไทยจำนวน 3,000 คน  เนื่องในวโรกาสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมพรรษา 6 รอบ หรือ 72 พรรษา ในวันที่ 28 กรกฎาคม 2567 นับเป็นมหามงคลสมัยพิเศษยิ่ง 

สภาสหพันธ์รักษาสันติภาพ(UNPKFC) ร่วมกับ ศูนย์อวกาศหิมาลายัน(Himalayan Space Centre),สมาคมสหประชาชาติ แห่งโคเชลลาแวลลีย์ มลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา UNA-USA และ Adventure of Humanity ,สมาคมแห่งสถาบันพระปกเกล้า,โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สตรีวิทยา2 ,โรงเรียนอนุบาลพนัสนิคมศึกษาลัย ร่วมจัดกิจกรรม GLOBAL SPACE LEADERSHIP PROGRAM ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม เปิดตัวการเข้าถึงอวกาศสำหรับทุกคน โดยหลักสูตรการเรียนการสอนจาก NASA จำนวน 3,000 คน ด้วยความราบรื่น

ดร.อภินิตา ไชยชนะ ประธานคณะกรรมการจัดงาน โครงการ Global Space Leadership Program กล่าวว่า การจัดกิจกรรมในครั้งนี้ประสบความสำเร็จ ลุล่วง ด้วยดี จากความร่วมมือทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และคณะผู้จัดงานและภาคีเครือข่ายจิตอาสาทุกภาคทั้งในประเทศและระดับนานาชาติ ที่มีส่วนร่วมสำคัญในการให้ความร่วมมือ เพื่อเยาวชนที่จะเป็นผู้นำในอนาคต นอกจากเยาวชนจะได้ประโยชน์จากทักษะในการเรียนรู้ ,การทำงานเป็นทีม,การอยู่ร่วมกัน การมีสมาธิ ความคิดสร้างสรรค์ทางนวัตกรรมในเบื้องต้นแล้วนั้น ยังได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันความเท่าเทียมทางด้านการศึกษาอย่างเป็นรูปธรรมให้เกิดขึ้นในการอบรมหลักสูตรระดับโลกจาก NASA ในครั้งนี้ โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ


การจัดงาน Global Space Leadership Gala Night ขึ้นมาในครั้งนี้ เพื่อต้องการขอบคุณ บุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการสนับสนุน และมีส่วนสำคัญในความสำเร็จของโครงการ  Global Space Leadership Program ให้ประสบความสำเร็จ ตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ พร้อมกันนี้ยังจัดให้มีพิธีมอบรางวัลและเชิดชูเกียรติบุคคลสำคัญ  Global Leadership Achievement Award และ Global Young Achiever Award เพื่อขอบคุณบุคคลสำคัญ  เพื่อต้องการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับบุคคลที่มีจิตสาธารณะเพื่อเยาวชนและส่วนรวมเพื่อผู้อื่นอย่างต่อเนื่องต่อไป โดยภายในงานมีบุคคลจากหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน, สภากลาโหมแห่งชาติประเทศอินโดนีเซีย ,สหประชาชาติ รวมถึง บุคคลสำคัญมีชื่อเสียงในสาขาอาชีพต่างๆ ในระดับนานาชาติเข้าร่วมกิจกรรมอย่างคับคั่ง และองค์กรที่เป็นส่วนสำคัญหลักในโครงการ อาทิเช่น บริษัท ไทยสมายส์ บัส , Visionglass And Door Industrial Co.,Ltd  เป็นต้น

The UNPKFC organized a Gala Night to celebrate the great success. 


The GLOBAL SPACE LEADERSHIP PROGRAM has passed successfully and beautifully, providing space access for all to 3,000 Thai youth under the concept of space access for All. This special occasion marks the 6th cycle or the 72nd year of the reign of His Majesty King Maha Vajiralongkorn on July 28, 2024, considered a great and auspicious era. 

The United Peace Keepers Federal Council (UNPKFC) collaborated with the Himalayan Space Centre, the United Nations Association of Coachella Valley California USA Chapter (UNA-USA), Adventure of Humanity, King Prajadhipok Institute's Society, Nawamintrachinuthit Satriwittaya 2 School, and Anubanphanatsuksalai School to successfully launch the GLOBAL SPACE LEADERSHIP PROGRAM, providing access to space for everyone with a curriculum developed by NASA for 3,000 participants. 

Dr. Aphinita Chaichana, Chairman of the Global Space Leadership Program organizing committee, stated that the event was a great success due to the collaboration of the government, private sector, organizers, and volunteer networks nationwide and internationally, who played a significant role in supporting future youth leaders. The youth not only benefited from learning skills, teamwork, coexistence, mindfulness, and innovative thinking but also contributed to promoting education equality in a fair manner during the NASA global training program, in line with the project's objectives, leaving no one behind. 


The Global Space Leadership Gala Night is organized this time to express gratitude to individuals who have been involved in supporting and have played a significant role in the success of the Global Space Leadership Program according to the program's objectives. The event will also include award ceremonies to honor important figures with the Global Leadership Achievement Award and Global Young Achiever Award, in order to show appreciation and provide encouragement to individuals with a public spirit for youth and community welfare, as well as to others continuously. The event will be attended by individuals from the government and private sectors, the Indonesian National Defense Council, the United Nations, as well as prominent figures in various professional fields at the international level, ensuring the participation of key organizations in the project such as Thai Smile Bus Company, Visionglass And Door Industrial Co., Ltd, and others.


ก.แรงงาน ดึงดาราเสริมทัพวิทยากร ติดปีกอาชีพ อัพสกิลบาริสต้า รองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย Soft Power

 ก.แรงงาน ดึงดาราเสริมทัพวิทยากร ติดปีกอาชีพ อัพสกิลบาริสต้า รองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย Soft Power

วันที่ 30 กรกฏาคม 2567 กระทรวงแรงงานภายใต้การนำของนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ขับเคลื่อนการดำเนินงานภายใต้แนวคิด “ทักษะดี มีงานทำ หลักประกันสังคมเด่น เน้นขับเคลื่อนเศรษฐกิจ”



กรมพัฒนาฝีมือแรงงานเล็งเห็นความสำคัญในการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพบุคลากรสำหรับ ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งเป็น 1 ใน 11 อุตสาหกรรมเป้าหมาย Soft Power เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค โดยเฉพาะจังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นเมืองหลักที่มีจุดเน้นด้านการท่องเที่ยวและแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ที่มีศักยภาพรองรับนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ ด้วยทำเลทางภูมิศาสตร์มีพื้นที่ครอบคลุมถึงในบริเวณอ่าวไทย ทั้งบริเวณที่เป็นทะเลและเป็นเกาะขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักทั่วโลก เช่น เกาะสมุย เกาะพะงัน เกาะเต่า และแหล่งท่องเที่ยวในแผ่นดินใหญ่อย่างเขื่อนรัชชประภา อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ เชื่อมโยงเส้นทางการคมนาคมภาคใต้ตอนบน ส่งผลให้ธุรกิจคาเฟ่ หรือร้านกาแฟในจังหวัดสุราษฎร์ธานี เติบโตอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันจังหวัดสุราษฎร์ธานีมีร้านกาแฟพุ่งสูงกว่า 150 ร้าน มีอัตราการเติบโตและขยายร้านเพิ่มขึ้นในทุก ๆ ปี อัตราเฉลี่ยในการบริโภคกาแฟของคนในจังหวัดสุราษฎร์ธานีอยู่ที่ปีละ 200 แก้ว/คน/ปี และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นได้อีกมาก ด้วยปัจจัยสำคัญคือพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป โดยผู้บริโภคยุคใหม่จะมีความฉลาดหรือรู้จักเลือกสินค้าที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากขึ้น และพร้อมจะจ่ายเงินเพิ่มในการซื้อสินค้าที่ดีต่อสุขภาพกับนวัตกรรมใหม่ ๆ ในการผลิตอาหาร


นางสาวบุปผา เรืองสุด อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน มอบหมายให้สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 11  สุราษฎร์ธานีเร่งพัฒนาบุคลากรรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย Soft Power ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค เพื่อศักยภาพการท่องเที่ยวมูลค่าสูง โดยดำเนินการฝึกอบรมประเภทการฝึกยกระดับฝีมือ หลักสูตรบาริสต้ามืออาชีพ จำนวน 30 ชั่วโมง จัดฝึกอบรมระหว่างวันที่ 23 –24 , 30-31 กรกฎาคม และ 1 สิงหาคม 2567 ณ สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 11 สุราษฎร์ธานี อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มทักษะ (UpSkill) เสริมสร้างความรู้ พัฒนาการให้บริการ สร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ โดยเสริมทัพวิทยากรด้วยอินฟลูเอนเซอร์ ท้องถิ่นมากความสามารถและมีประสบการณ์สูงในวงการกาแฟ คุณโบวี่ คนึงนิจ เนียรเถ้อ เจ้าของร้านส้มสุขคาเฟ่ และไฮไลท์เด่นการถ่ายทอดประสบการณ์และสร้างคอนเทนต์ด้านธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม จากคุณโชกุน บรรเจิด สันธนะพานิช ดาราหนุ่มมากความสามารถ ที่จะผนึกกำลังถ่ายทอดองค์ความรู้ อย่างเต็มความสามารถ ตลอดการฝึกอบรมผู้เข้ารับการฝึกอบรม จะได้รับการพัฒนาทักษะด้านการชงกาแฟในรูปแบบ   ต่าง ๆ ด้วยเครื่องชงกาแฟที่มีคุณภาพสูง วิวัฒนาการของร้านกาแฟ กลยุทธ์ทางการตลาดอย่างมืออาชีพ ทักษะการบริการผ่านการแสดงบทบาทสมมุติ ตลอดจนความปลอดภัยในการปฏิบัติงานในร้านกาแฟ

  

นางสาวสุขศรี ไล่กสิกรรม ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 11 สุราษฎร์ธานี กล่าวว่าผู้สนใจที่ต้องการพัฒนาทักษะทั้ง Newskill Upskill และ Reskill ติดต่อได้ที่สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 11 สุราษฎร์ธานี โทร. 08 6306 3171 Facebook : สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 11 สุราษฎร์ธานี

กรมทรัพย์สินทางปัญญา เปิดคอร์สติวเข้มการตลาดให้ผู้ประกอบการ GI คาดช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้า GI พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชนอย่างยั่งยืน

 กรมทรัพย์สินทางปัญญา เปิดคอร์สติวเข้มการตลาดให้ผู้ประกอบการ GI  คาดช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้า GI พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชนอย่างยั่งยืน 

นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ มอบหมายให้กรมทรัพย์สินทางปัญญาเดินหน้าเสริมความแข็งแกร่งผู้ประกอบการ GI จัดกิจกรรมสร้างองค์ความรู้ด้านการตลาดให้ผู้ประกอบการสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) เปิดคอร์สติวเข้มการตลาด เพื่อเพิ่มยอดขายพร้อมสอนเทคนิคนำเสนอผลิตภัณฑ์  ผ่าน Story Telling มัดใจผู้บริโภค ระหว่างวันที่ 31กรกฎาคม – 1 สิงหาคม 2567 ณ โรงแรมโนโวเทล ฟิวเจอร์ปาร์ค รังสิต





นางสาวกนิษฐา กังสวนิช รองอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา เปิดเผยว่า กรมทรัพย์สินทางปัญญาขานรับนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลด้านการเพิ่มมูลค่าสินค้าอัตลักษณ์ชุมชน และกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นด้วยสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI)  โดยปัจจุบันกรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ขึ้นทะเบียนสินค้า GI ไปแล้ว  206 สินค้า สร้างมูลค่าให้กับเศรษฐกิจของประเทศกว่า 71,000 ล้านบาทต่อปี ควบคู่กับการส่งเสริมให้มีการควบคุมคุณภาพของสินค้า GI ไทย เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค ตลอดจนขยายช่องทางการตลาดให้กับ GI ไทย เพื่อเร่งเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างรายได้ให้กับผู้ผลิตและผู้ประกอบการในระดับชุมชนอย่างยั่งยืน



นางสาวกนิษฐา กล่าวเพิ่มเติมว่า “กิจกรรมภายในงานประกอบด้วยการอบรม ซึ่งในครั้งนี้เน้นการฝึกและปฏิบัติจริง นอกเหนือจากทฤษฎีที่ได้ปูพื้นฐานไว้ เพื่อให้ผู้ประกอบการ GI นำไปประยุกต์ใช้ต่อยอดกับสินค้าของตนอย่างมืออาชีพ มีการให้ความรู้ ในหัวข้อที่น่าสนใจ เช่น การจัดหน้าร้านและการจัด Display สำหรับการออกบูท การจัดโปรโมชั่นกระตุ้นยอดขายให้เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ การสร้าง Story ให้กับสินค้า GI ผ่าน Story Telling การสื่อสารกับลูกค้า การสร้างแบรนด์ผ่านเครื่องหมายการค้า การออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค

ในปัจจุบัน และยังให้บริการถ่ายภาพสินค้าของผู้เข้าร่วมการอบรมทำเป็นแค็ตตาล็อกกลับไปใช้ต่อได้ เป็นต้น” นอกจากนี้ ในช่วงกลางเดือนหน้า กรมทรัพย์สินทางปัญญาก็ยังมีการจัดอบรมสร้างองค์ความรู้ด้านการตลาดให้ผู้ประกอบการสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ด้านการตลาดออนไลน์ เพื่อสร้างองค์ความรู้ให้กับผู้ประกอบการ GI ที่สนใจตลาดออนไลน์ด้วย 




  สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจรับฟังการอบรมสามารถรับชม Live สดผ่านทาง Facebook กรมทรัพย์สินทางปัญญา หรือติดตามคลิปการอบรมย้อนหลังได้ที่ Youtube GI Thailand Official Channel

------------------------

กรมทรัพย์สินทางปัญญา

               กรกฎาคม 2567


วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

“โฮมโปร-HMPRO” กวาดรายได้รวมครึ่งแรกปี 67 กว่า 37,322.83 ล้านบาท ฟาดกำไรสุทธิ 3,334 ล้านบาท โต 3.20%

 “โฮมโปร-HMPRO” กวาดรายได้รวมครึ่งแรกปี 67 กว่า 37,322.83 ล้านบาท 

ฟาดกำไรสุทธิ 3,334 ล้านบาท โต 3.20% 

บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น HMPRO โชว์รายได้ครึ่งแรกปี 67 มีรายได้รวม 37,322.83 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 168.29 ล้านบาท หรือ 0.45% โดยมีกำไรสุทธิ 3,334.54 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 103.55 ล้านบาท หรือ 3.20% โดยการปรับตัวเพิ่มขึ้นนี้เป็นผลมาจากการกระตุ้นเศรษฐกิจ Easy E-Receipt ของรัฐบาล และรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการเปิดสาขาใหม่ของโฮมโปร และเมกาโฮม รวมถึงช่องทางออนไลน์ ทั้งยังมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายร่วมกับคู่ค้าอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าในช่วงไตรมาส 2 จะมีปัจจัยของสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และฤดูฝนที่มาเร็ว ซึ่งส่งผลให้ยอดขายปรับตัวลดลงก็ตาม


นายวีรพันธ์ อังสุมาลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ โฮมโปร (หุ้น HMPRO) เปิดเผยผลการดำเนินงานงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2567 ว่า บริษัทฯ มีผลกำไรสุทธิสำหรับครึ่งปีแรก เท่ากับ 3,334.54 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 103.55 ล้านบาท หรือ 3.20% โดยมีรายได้รวม จำนวน 37,322.83 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 168.29 ล้านบาท หรือ 0.45% 


ซึ่งที่มาของรายได้ประกอบไปด้วย รายได้จากสัญญาที่ทำกับลูกค้า ซึ่งประกอบไปด้วยรายได้จากการขายสินค้า และรายได้จากการให้บริการลูกค้า (Home Service) รวมจำนวน 35,062.01 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยในมูลค่า 49.71 ล้านบาท หรือ 0.14% มีปัจจัยจากการกระตุ้นเศรษฐกิจ Easy E-Receipt ของทางรัฐบาล รวมถึงการรับรู้รายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการเปิดสาขาใหม่ของโฮมโปร และเมกาโฮม ทั้งยังมีช่องทางออนไลน์ และการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายร่วมกับคู่ค้าอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าในช่วงไตรมาส 2 จะมีปัจจัยของสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและฤดูฝนที่มาเร็ว ซึ่งส่งผลให้ยอดขายปรับตัวลดลงก็ตาม


นอกจากนี้ยังมีรายได้จากค่าเช่า จำนวน 908.84 ล้านบาท ลดลง 31.75 ล้านบาท หรือ 3.38% จากปีก่อน เป็นผลมาจากการงดจัดงาน HomePro Expo ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี ในช่วงเดือนมีนาคม และงาน HomePro Fair ที่เชียงใหม่ โดยได้มีการปรับเปลี่ยนเป็นการจัดงาน HomePro Super Expo ในช่วงเดือนเมษายนแทน ผ่านช่องทางสาขาและออนไลน์


สำหรับกำไรขั้นต้นจากการขายสินค้า และการให้บริการ Home Service รวมจำนวน 9,204.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.58 ล้านบาท หรือ 0.36% โดยอัตรากำไรขั้นต้นต่อยอดขาย เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 26.20% ในปีก่อน มาอยู่ที่ 26.25%  ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงส่วนผสมของกลุ่มสินค้าที่มีอัตรากำไรสูง โดยเฉพาะกลุ่มสินค้า Private Label ในส่วนของธุรกิจเมกาโฮม


นายวีรพันธ์ กล่าวว่า การขยายสาขาในไตรมาสที่ 2 บริษัทฯ ได้มีการเปิดสาขาเพิ่ม 2 แห่ง ได้แก่ โฮมโปร สาขาลำพูน และเมกาโฮม สาขาอุดรธานี จึงทำให้ ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 บริษัทฯ มีโฮมโปร 90 สาขา โฮมโปรเอส 5 สาขา เมกาโฮม 28 สาขา และโฮมโปรที่ประเทศมาเลเซีย 7 สาขา


ในช่วงไตรมาส 2/67 ที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยมีการเติบโตในอัตราที่ชะลอตัวลง โดยภาคการท่องเที่ยวยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และสร้างรายได้ให้กับภาคธุรกิจและผู้ประกอบการต่างๆ ผ่านการบริโภคสินค้าในประเทศ อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจที่น่ากังวล ในเรื่องของอัตราดอกเบี้ยและหนี้ภาคครัวเรือน ที่ยังคงอยู่ในระดับที่สูง ส่งผลให้เกิดการระมัดระวังในการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคที่เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งการเบิกจ่ายงบประมาณที่ล่าช้าของทางรัฐบาล และภาคการส่งออกที่ชะลอตัวจากปัญหาเชิงโครงสร้าง ทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจยังคงขยายตัวในระดับที่ต่ำ 


นายวีรพันธ์ กล่าวอีกว่า ในช่วงไตรมาส 2 เป็นช่วงที่ตรงกับฤดูร้อนของประเทศไทย จึงส่งผลให้ยอดขายสินค้ากลุ่มเครื่องทำความเย็น อาทิ เครื่องปรับอากาศ พัดลม และพัดลมไอน้ำ เติบโตสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ประเทศไทยได้เริ่มเข้าสู่ฤดูฝน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป ส่งผลให้โครงการก่อสร้างต่างๆ เกิดการชะลอตัว รวมถึงอาจเกิดความไม่สะดวกในการเข้ามาใช้บริการที่สาขาของลูกค้า 


“อีกทั้งในช่วงไตรมาส 2 ปีนี้ บริษัทฯ ได้มีการงดการจัดงาน HomePro Fair ที่เชียงใหม่ เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งมีการจัดกิจกรรมในช่วงเวลาดังกล่าว จึงทำให้ยอดขายสินค้าโดยรวมปรับตัวลดลงเล็กน้อย แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ได้มีการจัดกิจกรรม HomePro Super Expo ในวันที่ 4-8 เมษายน 2567 ที่ช่องทางสาขาและออนไลน์ รวมถึงยังมีการจัดกิจกรรม Double Day อย่างต่อเนื่องทุกเดือน เพื่อรักษายอดขาย อัตรากำไร และ ส่วนแบ่งทางการตลาดอีกด้วย


#รายงานผลประกอบการ #HMPRO #HomePro #homeprothailand #โฮมโปร #เรื่องบ้านโฮมโปรคือคำตอบ #Homepropr 

#ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย


นายกฯ ควง 3 หน่วยงาน เปิดโครงการรักษ์ 72 หาดไทยฯ - ภูเก็ต SandBox เฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธี มหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 รักษาสมดุลทางทะเล เพิ่มความสมบูรณ์ให้กับสิ่งแวดล้อม สร้างจุดดึงดูดนักท่องเที่ยว

 นายกฯ ควง 3 หน่วยงาน เปิดโครงการรักษ์ 72 หาดไทยฯ - ภูเก็ต SandBox เฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธี มหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 รักษาสมดุลทางทะเล เพิ่มความสมบูรณ์ให้กับสิ่งแวดล้อม สร้างจุดดึงดูดนักท่องเที่ยว  

     วันที่ 30 กรกฎาคม 2567 ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และดร.ปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ร่วมงานเปิดตัวโครงการรักษ์ 72 หาดไทย เฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธี มหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 และโครงการ ภูเก็ต Sandbox ต้นแบบอนุรักษ์หาดไทย เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) จัดทำโครงการเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 72 พรรษา 28 กรกฎาคม 2567 เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 รวมถึงสร้างความตระหนักด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้กับประชาชน อันจะนำไปสู่การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ทางทะเลและชายฝั่งอย่างยั่งยืน และรณรงค์ลด ละ เลิก การใช้บรรจุภัณฑ์ประเภทพลาสติกชนิดใช้ครั้งเดียวทิ้ง (Single-Use Plastic) ตลอดจนส่งเสริมการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Eco-Friendly Packaging) ในแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลและชายฝั่ง


    นายเศรษฐา กล่าวว่า ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สร้างรายได้ให้กับประเทศชาติ คิดเป็นมูลค่า 2 ล้านล้านบาท นับว่าเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าสูงมาก และเพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลของไทย ตนจึงได้มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หารือร่วมกับกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จัดโครงการรักษ์ 72 หาดไทย เฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธี มหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ขึ้น เพื่อรักษาความสะอาดและความสวยงามของชายหาด ที่จะทำให้ประเทศไทยมีศักยภาพในการดึงดูดนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ ให้มาเที่ยวแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลของไทยเพิ่มมากขึ้น โดยมีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) เป็นหน่วยงานหลักในการประสานงานการดำเนินโครงการดังกล่าว ทั้งนี้ได้กำหนดพื้นที่เป้าหมายจังหวัดชายฝั่งทะเล 7 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดตราด ระยอง ชลบุรี สุราษฎร์ธานี ตรัง กระบี่ และภูเก็ต ตลอดจนนำแผนปฏิบัติการด้านการจัดการขยะพลาสติก ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566 - 2570) มาใช้เป็นกรอบแนวคิดในการจัดทำมาตรการดำเนินงาน ประกอบด้วย 4 มาตรการ คือ มาตรการที่ 1 ส่งเสริมการผลิตและขายบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มาตรการที่ 2 รณรงค์ใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มาตรการที่ 3 การจัดการขยะ อย่างถูกหลักวิชาการ และมาตรการที่ 4 เก็บขยะตกค้างบริเวณชายหาดและในทะเล ทั้งนี้ เป้าหมายของการดำเนินโครงการดังกล่าวคือการยกเลิกการผลิต/ขายพลาสติกชนิดใช้ครั้งเดียวทิ้ง จำนวนไม่น้อยกว่า 3 ชนิด ผู้บริโภคใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มากกว่าร้อยละ 80 จำนวนผู้ประกอบการท่องเที่ยวใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ร้อยละ 80 ตลอดทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นออกข้อบัญญัติท้องถิ่นในการเก็บรวบรวมและคัดแยกขยะ และมีระบบการจัดการเก็บรวบรวมและคัดแยกขยะพลาสติกอย่างถูกหลักวิชาการ และมีระบบป้องกันการหลุดรอดของขยะจากแม่น้ำลำคลองลงสู่ทะเล ที่สำคัญที่สุดคือไม่มีขยะตกค้างบริเวณชายหาดและในทะเล


      นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อไปว่า โครงการ ภูเก็ต Sandbox ต้นแบบอนุรักษ์หาดไทย เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 เป็นพื้นที่ต้นแบบการดำเนินงานในการลดปัญหาขยะชายหาด ส่งเสริมการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การสร้างความร่วมมือกับทั้งกลุ่มผู้ค้าบริเวณชายหาดและนักท่องเที่ยวเพื่อการจัดการขยะที่ถูกต้อง รวมถึงการส่งเสริมให้ธุรกิจที่สนับสนุนการท่องเที่ยวบริเวณชายหาดมีการดำเนินการอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะขยายผลไปยังชายหาดอื่นๆ ให้ครบ เพื่อร่วมเป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 72 พรรษา 28 กรกฎาคม 2567 ทั้งนี้ เป้าหมายของการดำเนินโครงการดังกล่าวมีเป้าหมายในการยกเลิกการผลิตขายพลาสติกชนิดใช้ครั้งเดียวทิ้ง จำนวนไม่น้อยกว่า 1 ชนิด ผู้บริโภคใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มากกว่าร้อยละ 50 จำนวนผู้ประกอบการท่องเที่ยวใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ร้อยละ 50 ตลอดทั้งมีระบบการจัดการเก็บรวบรวมและคัดแยกขยะพลาสติก ระบบป้องกันการหลุดรอดขยะจากแม่น้ำ ลำคลองลงสู่ทะเล อย่างไรก็ตาม โครงการรักษ์ 72 หาดไทยฯ และโครงการ ภูเก็ต SandBox จะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ให้เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในพื้นที่ทางทะเลของประเทศไทย เพราะความสมบูรณ์ของทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ทุกภาคส่วนต่างร่วมแรงร่วมใจกันอนุรักษ์และฟื้นฟูจะยังคงความสมบูรณ์และยั่งยืนครอบคลุมในทุกมิติอย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่องต่อไป