วันจันทร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2567

การค้าชายแดนและผ่านแดน ส.ค. 67 ขยายตัวต่อเนื่อง +16.2% รวม 8 เดือนแรก ขยายตัว 7.1% ส่งออกสินค้าพลังงาน ทุเรียนสด ยางพาราและผลิตภัณฑ์ยาง ยังโตต่อเนื่อง

  การค้าชายแดนและผ่านแดน ส.ค. 67 ขยายตัวต่อเนื่อง +16.2% รวม 8 เดือนแรก ขยายตัว 7.1% ส่งออกสินค้าพลังงาน ทุเรียนสด ยางพาราและผลิตภัณฑ์ยาง ยังโตต่อเนื่อง

        นายนพดล คันธมาศ รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยตัวเลขการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดน เดือนสิงหาคม 2567 มีมูลค่าการค้ารวม 154,987 ล้านบาท ขยายตัว 16.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นการส่งออก 88,053 ล้านบาท (+18.4%) และการนำเข้า 66,934 ล้านบาท (+13.4%) โดยไทยได้ดุลการค้า 21,119 ล้านบาท ทำให้การค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2567 มีมูลค่าการค้ารวม 1,225,371 ล้านบาท (+7.1%) เป็นการส่งออก 709,459 ล้านบาท (+6.2%) และการนำเข้า 515,913 ล้านบาท (+8.4%) โดยไทยได้ดุลการค้าในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2567 ทั้งสิ้น 193,546 ล้านบาท 




        การค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน 4 ประเทศ เดือนสิงหาคม 2567 มีมูลค่าการค้ารวม 83,699 ล้านบาท (+15.1%) เป็นการส่งออก 48,635 ล้านบาท (+7.9%) การนำเข้า 35,064 ล้านบาท (+27.0%) และไทยได้ดุลการค้า 13,571 ล้านบาท โดยการค้าชายแดนกับมาเลเซีย มีมูลค่าสูงสุด 28,589 ล้านบาท (+20.7%) รองลงมา คือ สปป.ลาว 23,143 ล้านบาท (+12.8%) เมียนมา 17,530 ล้านบาท (+16.5%) และกัมพูชา 14,436 ล้านบาท (+7.3%) ซึ่งสินค้าส่งออกชายแดนสำคัญในเดือนสิงหาคม 2567 ได้แก่ น้ำมันดีเซล 2,473 ล้านบาท น้ำมันสำเร็จรูปอื่นๆ 1,507 ล้านบาท และเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ อื่นๆ 1,482 ล้านบาท ส่งผลให้ 8 เดือนแรกของปี 2567 การค้าชายแดนมีมูลค่าการค้ารวม 659,917 ล้านบาท (+5.4%) เป็นการส่งออก 404,717 ล้านบาท (+3.4%) การนำเข้า 255,200 ล้านบาท (+8.8%) และไทยได้ดุลการค้ารวมทั้งสิ้น 149,517 ล้านบาท


        ด้านการค้าผ่านแดนไปประเทศที่สาม เดือนสิงหาคม 2567 มีมูลค่าการค้ารวม 71,289 ล้านบาท (+17.5%) เป็นการส่งออก 39,419 ล้านบาท (+34.6%) และการนำเข้า 31,870 ล้านบาท (+1.5%) โดยการค้าผ่านแดนไปจีน มีมูลค่าสูงที่สุด 41,786 ล้านบาท (+18.1%) รองลงมาคือ สิงคโปร์ และเวียดนาม มีมูลค่า 9,154 ล้านบาท (+26.2%) และ 6,541 ล้านบาท (+61.8%) ตามลำดับ ซึ่งสินค้าส่งออกผ่านแดนสำคัญในเดือนสิงหาคม 2567 ได้แก่ ทุเรียนสด 7,941 ล้านบาท ฮาร์ด ดิสก์ ไดรฟ์ 6,459 ล้านบาท และยางแท่ง TSNR 4,091 ล้านบาท ส่งผลให้ 8 เดือนแรกของปี 2567 การค้าผ่านแดนมีมูลค่าการค้ารวม 565,454 ล้านบาท (+9.1%) เป็นการส่งออก 304,741 ล้านบาท (+10.1%) การนำเข้า 260,713 ล้านบาท (+8.0%) และไทยได้ดุลการค้ารวมทั้งสิ้น 44,028 ล้านบาท 

        นายนพดลเปิดเผยว่า ความต้องการสินค้าพลังงานจากไทยของประเทศเพื่อนบ้านยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง อาทิ น้ำมันดีเซล (+3.4%) และน้ำมันสำเร็จรูปอื่นๆ (+10.27%) รวมไปถึงสินค้าอุปโภคบริโภค อาทิ นมผง (+24.8%) และเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ (+3.41%) ที่ยังคงเป็นที่ต้องการของประเทศเพื่อนบ้าน ส่งผลให้การส่งออกชายแดนของไทยขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน ในขณะที่การค้าผ่านแดน การส่งออกทุเรียนสดกลับมาขยายตัวอีกครั้ง (+4.6%) ในเดือนสิงหาคม 2567 ส่งผลให้ 8 เดือนแรกของปี 2567 ไทยส่งออกทุเรียนสดผ่านแดน มูลค่า 85,281 ล้านบาท (+7.1%) โดยตลาดหลักยังคงเป็นจีน 85,180 ล้านบาท (+7.0%) นอกจากนี้ ความต้องการสินค้ายางพาราและผลิตภัณฑ์ยางในตลาดโลกที่ยังคงสูงต่อเนื่อง ส่งผลให้การส่งออกชายแดนและผ่านแดนสินค้ากลุ่มดังกล่าวของไทยขยายตัวสูงในเดือนสิงหาคม 2567 อาทิ น้ำยางข้น (+25.5%) ยางแท่ง TSNR (+74.5%) ยางแผ่นรมควัน ชั้นที่ 3 (+71.3%) และถุงมือยาง (+38.2%) โดยตลาดส่งออกสำคัญสำหรับสินค้ากลุ่มดังกล่าว ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น มาเลเซีย สหรัฐฯ และอินเดีย

   


    กรมการค้าต่างประเทศยังคงให้ความสำคัญในการดำเนินการตาม “ยุทธศาสตร์การส่งเสริมการค้าและการลงทุนชายแดนและผ่านแดน ปี 2567 – 2570” อย่างต่อเนื่องตามนโยบายรัฐบาล เพื่อให้บรรลุเป้าหมายมูลค่าการค้าชายแดนและผ่านแดน 2 ล้านล้านบาท ภายในปี 2570 โดยในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2567 ความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐในการส่งเสริมการค้าชายแดนและผ่านแดนได้อำนวยความสะดวกและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยดำเนินธุรกรรมได้สะดวกมากขึ้น ซึ่งในช่วงที่เหลือของปี 2567 การค้าชายแดนและผ่านแดนของไทยมีแนวโน้มที่จะขยายตัวต่อเนื่อง จากความต้องการสินค้าไทยของประเทศเพื่อนบ้านและประเทศอื่นๆ ยังมีอยู่สูง รวมถึงช่องทางการค้าผ่านทางชายแดนที่มีความสะดวกมากขึ้นเป็นปัจจัยสำคัญ

“พิชัย” จัด “ลดราคาสินค้าในเทศกาลกินเจ อิ่มบุญราคาประหยัด ย้ำ “ห้ามขาด ห้ามแพง” คาดลดค่าครองชีพประชาชนได้ถึง 750 ลบ. กระตุ้นเศรษฐกิจ 2,2

 “พิชัย” จัด “ลดราคาสินค้าในเทศกาลกินเจ อิ่มบุญราคาประหยัด ย้ำ “ห้ามขาด ห้ามแพง”  คาดลดค่าครองชีพประชาชนได้ถึง 750 ลบ. กระตุ้นเศรษฐกิจ 2,250 ลบ.


 รมว.พิชัย นริพทะพันธุ์ ประธานเปิดงาน “พาณิชย์จัดให้ ลดราคา เทศกาลกินเจ อิ่มบุญราคาประหยัด” ในเทศกาลกินเจ ตั้งแต่วันที่ 3 - 11 ตุลาคม 2567 จำนวน 9 วัน สามารถลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน  750 ล้านบาท กระตุ้นเศรษฐกิจ ในภาพรวม 2,250 ล้านบาท พร้อมย้ำสินค้าห้ามขาดห้ามแพง โดยเฉพาะในพื้นที่น้ำท่วมภาคเหนือ กระทรวงพาณิชย์พร้อมดูแลและตรวจสอบสถานการณ์อย่างใกล้ชิด





นายพิชัย นริพทะพันธุ์  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยหลังเป็นประธานเปิดงาน “พาณิชย์จัดให้ ลดราคา เทศกาลกินเจ อิ่มบุญราคาประหยัด”  วันที่ 30 กันยายน 67 ณ ตลาดยิ่งเจริญ เขตบางเขน กทม. พร้อมผู้บริหารตลาดยิ่งเจริญและภาคีเครือข่ายภาคเอกชน ว่า “กระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมกับพันธมิตรต่าง ๆ ทั้งห้างสรรพสินค้าทั่วประเทศ ห้างท้องถิ่น ตลาดกลาง และตลาดสดต่าง ๆ “พาณิชย์จัดให้ ลดราคา เทศกาลกินเจ อิ่มบุญราคาประหยัด” ตั้งแต่วันที่ 3 - 11 ตุลาคม 2567 โดยนำสินค้าที่เกี่ยวข้องกับเทศกาลกินเจ มาจำหน่ายให้กับประชาชน เพื่อช่วยลดรายจ่ายให้กับประชาชน และสามารถเข้าร่วมเทศกาลทำบุญในราคาที่ไม่แพงจนเกินไป จะได้อิ่มบุญ อิ่มความรู้สึกที่ดี ๆ โดยเทศกาลถือศีลกินเจปี 2567 ที่จะถึงนี้ ถือเป็นเทศกาลที่พี่น้องประชาชนโดยเฉพาะเชื้อสายจีนให้ความสนใจและถือปฏิบัติมาเป็นเวลานานทุกปี ผมอยากจะเห็นพี่น้องประชาชนเข้าร่วมเทศกาลกินเจได้มีโอกาสเข้าถึงสินค้าราคาถูก สามารถรับประทานผักผลไม้ในราคาที่ถูก นำสินค้าราคาถูก มาจำหน่ายให้กับพี่น้องประชาชน และยังได้เจาะลึกไปยังแหล่งชุมชน แหล่งที่มีแรงงาน ผู้มีรายได้น้อยอยู่อาศัย เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพ ตามนโยบายที่กระทรวงพาณิชย์ตั้งใจดำเนินการให้พี่น้องประชาชนอีกด้วย“

 



นายพิชัย กล่าวเพิ่มว่า “กระทรวงพาณิชย์ เล็งเห็นถึงความสำคัญของเทศกาลถือศีลกินเจ และขอให้พี่น้องประชาชนมั่นใจว่า สินค้าและวัตถุดิบเจทุกรายการมีเพียงพอ “ห้ามขาด”และ “ห้ามแพง” กระผมมีความยินดีที่จะเชิญชวนให้พี่น้องประชาชนได้เข้ามาจับจ่ายใช้สอยในกิจกรรม “พาณิชย์จัดให้ ลดราคาเทศกาลกินเจ” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยท่านนายกรัฐมนตรี (แพทองธาร ชินวัตร) ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้มอบหมายให้ กรมการค้าภายในผนึกกำลังกับภาคีเครือข่ายพันธมิตร 422 ราย ประกอบด้วย ผู้ผลิต ห้างค้าปลีก-ค้าส่ง ห้างท้องถิ่นตลาดสดและตลาดกลาง ทั่วประเทศ รวมถึง E-Commerce Platform จัดโปรโมชั่นลดราคา สินค้า สูงสุดถึง 65% ลดราคาอาหารปรุงส าเร็จ เมนูทางเลือกราคาประหยัด 30-40 บาท โมบายธงฟ้า ลดสูงสุด 60% เปิดจุดจำหน่ายผักเพื่อเป็นทางเลือก 20 จังหวัด ผัก 5 ชนิด (คะน้า กะหล่ำปลี ผักกาดขาว ถั่วฝักยาว แตงกวา)”

“ผมขอย้ำเรื่องราคาสินค้าและบริการโดยเฉพาะในพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วมว่า ห้ามขาดและห้ามแพง ซึ่งจากการลงในพื้นที่จังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่เมื่อ 2 วันที่ผ่านมา ผมได้ไปเห็นในจุดที่พี่น้องได้รับความเดือดร้อน มีเรื่องรถตักดิน ที่ตอนนี้ต้องใช้บริการเยอะ เนื่องจากดินโคลนที่ถล่มและน้ำพัดเข้ามา ผมจึงได้สั่งการให้ควบคุมราคาค่าบริการดังกล่าวก็ได้รับความร่วมมืออย่างดี และในส่วนที่พี่น้องประชาชนได้รับเงินหนึ่งหมื่นบาท ผมก็ได้กำชับให้พาณิชย์จังหวัดในพื้นที่ดูแลใกล้ชิด ห้ามฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าเป็นอันขาด” นายพิชัยกล่าว  

 









ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ต้องขอบคุณพันธมิตรทั้งหมด ซึ่งเป็นศูนย์กลางที่ทำให้นโยบายรัฐบาลต่าง ๆ เกิดขึ้น และขอบคุณพันธมิตรร้านค้า ผู้ประกอบการ ผู้ผลิต ที่ช่วยกระจายสินค้า ขอบคุณกระทรวงพาณิชย์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ อธิบดีภายในกรมการค้าภายใน ผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ทุกท่าน ที่ช่วยลดรายจ่ายให้พี่น้องประชาชน ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น จากรายจ่ายที่ลดลง และขอบคุณสื่อมวลชนทุกที่ช่วยกันประชาสัมพันธ์งานนี้ ช่วยสื่อสารประชาสัมพันธ์ให้ผู้บริโภคได้ไปซื้อสินค้าราคาถูก

วันศุกร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2567

กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน จับมือปั้มน้ำมันยักษ์ใหญ่ เทรนผู้ประกอบการร้านกาแฟรายใหม่

 กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน จับมือปั้มน้ำมันยักษ์ใหญ่ เทรนผู้ประกอบการร้านกาแฟรายใหม่

กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ร่วมกับบ.พีทีจี เอ็นเนอยี พัฒนาทักษะแรงงานยึดสไตล์ร้านกาแฟพันธุ์ไทย ชงอร่อยบริการประทับใจ นำร่องแรงงานในพื้นที่กทม. อธิบดีบุปผา มอบหมายให้นางจิรวรรณ สุตสุนทร รองอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เยี่ยมชมการฝึกอบรม ส่งเสริมผู้ประกอบการรายใหม่และผลิตแรงงานป้อนร้านกาแฟ



นางสาวบุปผา เรืองสุด อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เปิดเผยว่า ปัจจุบันสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงต่างมีร้านกาแฟไว้บริการให้กับประชาชน เพื่อเพิ่มความสดชื่นและใช้สถานที่เป็นจุดพักผ่อนระหว่างการเดินทาง และสามารถตอบโจทย์เรื่องความสะดวกสบาย และไลฟ์สไตล์ที่เร่งรีบของคนรุ่นใหม่ การเพิ่มทักษะด้านการชงกาแฟจึงเป็นอีกช่องทางหนึ่งของการทำธุรกิจและการจ้างงาน กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน จึงมอบหมายให้สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 13 กทม. จัดฝึกอบรมการประกอบอาชีพธุรกิจด้านกาแฟขึ้น ซึ่งในครั้งนี้ ได้บูรณาการกับษริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทดำเนินธุรกิจสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง ที่ให้บริการร้านกาแฟพันธุ์ไทย จัดฝึกอบรมให้แก่แรงงานที่สนใจเป็นพนักงานในร้านกาแฟพันธุ์ไทย หรือต้องการนำความรู้ไปเปิดร้านกาแฟของตนเอง ในหลักสูตรการเป็นผู้ประกอบการร้านกาแฟในสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง  นำร่องที่กรุงเทพมหานครเป็นจังหวัดแรก อีกทั้งในครั้งนี้เป็นการประกาศรับสมัครสำหรับบุคคลทั่วไปเป็นครั้งแรก โดยใช้สถานที่ฝึกอบรมของบริษัท ที่สำนักงานใหญ่ บริษัท PT อาคาร CW Tower ชั้น 3 ถ.รัชดาภิเษก กรุงเทพมหานคร



ด้านของนางจิรวรรณ สุตสุนทร รองอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กล่าวหลังการเยี่ยมชมการฝึกอบรมว่า ต้องขอบคุณบริษัท ที่ให้การสนับสนุนการฝึกอบรมครั้งนี้ ซึ่งเป็นรุ่นแรกที่บริษัทเปิดโอกาสให้เป็นกลุ่มบุคคลทั่วไป ทำให้ผู้ที่ผ่านการอบรมในครั้งนี้ ไม่มีความกดดันว่าผ่านการอบรมแล้วต้องเข้าทำงานกับบริษัท แต่หากผู้ที่ผ่านการอบรมสนใจและต้องการสมัครเข้าเป็นพนักงาน บริษัทยินดีรับเข้าทำงานทันที เพราะเป็นการประหยัดเวลาในการอบรมให้แก่พนักงานใหม่ การอบรมในครั้งนี้ มีผู้เข้าฝึกอบรมที่เป็นบุคคลทั่วไปจำนวน 19 คน ส่วนใหญ่เป็นแรงงานที่สนใจนำความรู้ไปเปิดร้านกาแฟ มีบางส่วนที่ต้องการเข้าไปทำงานในร้านกาแฟเพื่อเก็บประสบการณ์และเรียนรู้การบริหารจัดการร้านกาแฟก่อน จึงจะตัดสินใจเปิดร้านกาแฟเป็นของตัวเอง  หลังจากนี้ กรมยังคงร่วมกับบริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) จัดอบรมในรุ่นต่อไปตามความต้องการของแรงงาน 




การฝึกอบรมใช้ระยะเวลา 18 ชั่วโมง โดยวิทยากรจากบริษัท จะถ่ายทอดทักษะการชงกาแฟประเภทต่าง ๆ การผสมเครื่องดื่มแบบร้อนเย็นสไตล์เดียวกับร้านกาแฟพันธุ์ไทย นอกจากนี้ ยังแนะนำเทคนิคเกี่ยวกับการบริการเพื่อสร้างความประทับใจ และการบริหารจัดการร้านให้ประสบความสำเร็จอีกด้วย ผู้สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 13 กรุงเทพมหานคร โทร 0 2392 4794 และ 0 2390 0265 หรือ www.facebook.com/@dsdbangkok หรือ แจ้งความประสงค์เข้าฝึกอบรมได้ที่แบบสอบถามที่ลิ้งนี้  https://forms.gle/JEq4Hu7tUJkVPhrBA


วันพุธที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2567

เคนโด้ผุด โปรเจกต์ THE ONE สร้างแบรนด์สินค้า ดึง อาจารย์ บีว สกล นั่งแท่นไดเรกเตอร์ เป้าหมายกระตุ้นเศรษฐกิจไทย วงการสกินแคร์ อาหารเสริม

 เคนโด้ผุด โปรเจกต์ THE ONE สร้างแบรนด์สินค้า ดึง อาจารย์ บีว สกล นั่งแท่นไดเรกเตอร์ เป้าหมายกระตุ้นเศรษฐกิจไทย วงการสกินแคร์ อาหารเสริม 

จับธุรกิจกระแสไม่มีหยุดสำหรับผู้ประกาศข่าวคนดัง เคนโด้ เกรียงไกรมาศ พจนสุนทร หลังจากสร้างแฟรนไชส์ ยังวัน เป็นที่รู้จัก ล่าสุดเตรียมเปิดตัวโปรเจกต์ยักษ์ THE ONE รับผลิตสกินแคร์และอาหารเสริมครบวงจรด้วยความเหนือชั้นของเคนโด้ ประสบการณ์วงการสื่อสารมวลชน 25 ปี จึงเป็นจุดขายให้กลุ่มลูกค้าที่อยากสร้างแบรนด์ ได้รับการดูแลตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ ไม่ใช่แค่ผลิตแต่เราเหนือชั้นด้านการทำตลาดอีกด้วย 

การผลิตสินค้าด้วยโรงงานที่มีมาตรฐานระดับสูงทั้งไทยและต่างประเทศ THE ONE มีคอนเน็กชั่นทั่วโลก ที่ สามารถผลิตได้ทั้ง สกินแคร์ อาทิ ครีม เซรั่ม สบู่ โฟมล้างหน้า โทนเนอร์ คลีนเซอร์  อาหารเสริม อาทิ โปรตีน คอลลาเจน ดีท็อกซ์ อาหารเสริมบำรุงร่างกายทุกชนิด และลูกค้าสามารถออกแบบสูตรร่วมกับทาง THE ONE ได้เลย เราสามารถผลิตได้ทุกสูตรตามความต้องการ เลือกส่วนผสม กลิ่น สารสกัด เนื้อสัมผัส ได้ตามความต้องการทำให้สินค้ามีเอกลักษณ์ประจำตัวเป็น1เดียวในโลก ที่เกิดจากความตั้งใจของเจ้าของแบรนด์โดยแท้จริง และที่สำคัญ THE ONE เรามีจุดเด่นที่เหนือกว่าการผลิตเพียงอย่างเดียว เรายังมีการแนะนำการทำการตลาด อาทิ การใช้ Influencer การทำสื่อโฆษณา การแถลงข่าว การสร้างแบรนด์สินค้า ทำ Content Video ผ่านรายการ Talk Show รวมทั้งมีคอร์สเรียนการตลาดออนไลน์ให้กับเจ้าของแบรนด์ รวมถึงบริการการจดแจ้งอย. สคบ. ออกแบบและผลิตแพคเกจจิ้ง ทำให้การเป็นเจ้าของแบรนด์ง่ายและประสบความสำเร็จไวขึ้น

ด้วยบุคลากรตัวจริงในวงการนอกจาก เคนโด้ เกรียงไกรมาศ พจนสุนทร ผู้ประกาศและพิธีกรชื่อดัง ยังมี 

อาจารย์บีว สกล พณิชย์เสรีวงษ์ ที่ปรึกษาธุรกิจองค์กรขนาดใหญ่ และเอสเอ็มอีประสบการณ์กว่า 25 ปีด้านการตลาดและการขายในธุรกิจความงาม และสุขภาพ

- ประสบการณ์ในระดับ Top Management ของแบรนด์ Mistine

- ประสบการณ์ Assistant Managing Director บริษัท คาร์มาร์ท จำกัด (มหาชน)

- Co Founder of PROMAI Business School โรงเรียนสอนทำธุรกิจออนไลน์

- CEO and Founder of BEAU SUPERDEAL

- ที่ปรึกษาธุรกิจเอสเอ็มอี และการสร้างแบรนด์สินค้าใหม่

- นักการตลาดดิจิทัล โดยสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน)

- ครีเอเตอร์ สายการศึกษาที่ได้รับการคัดเลือกเข้าสู่ TikTok Community Thailand

งานนี้สั่นสะเทือนวงการสกินแคร์และอาหารเสริมแน่นอน ด้วยวิสัยทัศน์ของ THE ONE ที่1แห่งคุณภาพสินค้าและการสร้างแบรนด์ ครบ จบ ที่ THE ONE การเป็นเจ้าของแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จไม่ได้ยากอย่างที่คุณคิด เพราะเรามุ่งมั่นที่จะทำให้คุณเป็นที่1 ในวงการ


สนใจได้รับสิทธิพิเศษในการผลิตและสร้างแบรนด์ ติดต่อ 

เคนโด้ผุด โปรเจกต์ THE ONE สร้างแบรนด์สินค้า ดึง อาจารย์ บีว สกล นั่งแท่นไดเรกเตอร์ เป้าหมายกระตุ้นเศรษฐกิจไทย วงการสกินแคร์ อาหารเสริม จับธุรกิจกระแสไม่มีหยุดสำหรับผู้ประกาศข่าวคนดัง เคนโด้ เกรียงไกรมาศ พจนสุนทร หลังจากสร้างแฟรนไชส์ ยังวัน เป็นที่รู้จัก ล่าสุดเตรียมเปิดตัวโปรเจกต์ยักษ์ THE ONE รับผลิตสกินแคร์และอาหารเสริมครบวงจร

ด้วยความเหนือชั้นของเคนโด ประสบการณ์วงการสื่อสารมวลชน 25 ปี จึงเป็นจุดขายให้กลุ่มลูกค้าที่อยากสร้างแบรนด์ ได้รับการดูแลตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ ไม่ใช่แค่ผลิตแต่เราเหนือชั้นด้านการทำตลาดอีกด้วย 


การผลิตสินค้าด้วยโรงงานที่มีมาตรฐานระดับสูงทั้งไทยและต่างประเทศ THE ONE มีคอนเน็กชั่นทั่วโลก ที่ สามารถผลิตได้ทั้ง สกินแคร์ อาทิ ครีม เซรั่ม สบู่ โฟมล้างหน้า โทนเนอร์ คลีนเซอร์  อาหารเสริม อาทิ โปรตีน คอลลาเจน ดีท็อกซ์ อาหารเสริมบำรุงร่างกายทุกชนิด และลูกค้าสามารถออกแบบสูตรร่วมกับทาง THE ONE ได้เลย เราสามารถผลิตได้ทุกสูตรตามความต้องการ เลือกส่วนผสม กลิ่น สารสกัด เนื้อสัมผัส ได้ตามความต้องการทำให้สินค้ามีเอกลักษณ์ประจำตัวเป็น1เดียวในโลก ที่เกิดจากความตั้งใจของเจ้าของแบรนด์โดยแท้จริง 

และที่สำคัญ THE ONE เรามีจุดเด่นที่เหนือกว่าการผลิตเพียงอย่างเดียว เรายังมีการแนะนำการทำการตลาด อาทิ การใช้ Influencer การทำสื่อโฆษณา การแถลงข่าว การสร้างแบรนด์สินค้า ทำ Content Video ผ่านรายการ Talk Show รวมทั้งมีคอร์สเรียนการตลาดออนไลน์ให้กับเจ้าของแบรนด์ รวมถึงบริการการจดแจ้งอย. สคบ. ออกแบบและผลิตแพคเกจจิ้ง และทาง THE ONE เรายังการันตีคุณภาพสินค้าด้วยโลโก้ Check แล้วใช่ ว่าสินค้ามีคุณภาพจริงด้วยเครดิตในวงการ25ปี ของ คุณเคนโด้  ทำให้การเป็นเจ้าของแบรนด์ง่ายและประสบความสำเร็จไวขึ้น


ด้วยบุคลากรตัวจริงในวงการนอกจาก เคนโด้ เกรียงไกรมาศ พจนสุนทร ผู้ประกาศและพิธีกรชื่อดัง ยังมี อาจารย์บีว สกล พณิชย์เสรีวงษ์ ที่ปรึกษาธุรกิจองค์กรขนาดใหญ่ และเอสเอ็มอี

ประสบการณ์กว่า 25 ปีด้านการตลาดและการขายในธุรกิจความงาม และสุขภาพ

- ประสบการณ์ในระดับ Top Management ของแบรนด์ Mistine

- ประสบการณ์ Assistant Managing Director บริษัท คาร์มาร์ท จำกัด (มหาชน)

- Co Founder of PROMAI Business School โรงเรียนสอนทำธุรกิจออนไลน์

- CEO and Founder of BEAU SUPERDEAL

- ที่ปรึกษาธุรกิจเอสเอ็มอี และการสร้างแบรนด์สินค้าใหม่

- นักการตลาดดิจิทัล โดยสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน)

- ครีเอเตอร์ สายการศึกษาที่ได้รับการคัดเลือกเข้าสู่ TikTok Community Thailand

งานนี้สั่นสะเทือนวงการสกินแคร์และอาหารเสริมแน่นอน ด้วยวิสัยทัศน์ของ THE ONE ที่1แห่งคุณภาพสินค้าและการสร้างแบรนด์ ครบ จบ ที่ THE ONE การเป็นเจ้าของแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จไม่ได้ยากอย่างที่คุณคิด เพราะเรามุ่งมั่นที่จะทำให้คุณเป็นที่1 ในวงการ


สนใจได้รับสิทธิพิเศษในการผลิตและสร้างแบรนด์ ติดต่อ 

095-161-4561 


วันจันทร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2567

สสว. ยกระดับศักยภาพผู้ประกอบการในพื้นที่ EEC หวังสร้างแต้มต่อเอสเอ็มอีไทย ผ่านเทคโนโลยีและนวัตกรรม

 สสว. ยกระดับศักยภาพผู้ประกอบการในพื้นที่ EEC หวังสร้างแต้มต่อเอสเอ็มอีไทย ผ่านเทคโนโลยีและนวัตกรรม

สสว. จัดประชุมชี้แจงแนวทางและแผนการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน ภายใต้โครงการส่งเสริมและพัฒนาการเริ่มต้นเป็นผู้ประกอบการที่มีศักยภาพในพื้นที่ EEC และพื้นที่ต่อเนื่อง ปีงบประมาณ 2567




นางสาวปณิตา ชินวัตร รองผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เปิดเผยว่า ในปี 2567 นี้ สสว.ได้จัดให้มี โครงการส่งเสริมและพัฒนาการเริ่มต้นเป็นผู้ประกอบการที่มีศักยภาพในพื้นที่ EEC และพื้นที่ต่อเนื่อง ในปีงบประมาณ 2567 ซึ่งเป็นการส่งเสริมและเพิ่มขีดความสามารถ เพื่อยกระดับนวัตกรรมในอุตสาหกรรมเป้าหมายให้เกิดการลงทุนหรือสามารถก่อตั้งธุรกิจได้ พร้อมเชื่อมโยงแหล่งเงินทุนให้กับผู้ประกอบการที่ยกระดับนวัตกรรมในธุรกิจ และยังเป็นการเพิ่มโอกาสทางการค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศให้กับผู้ประกอบการในเขตพื้นที่ โดยมีการจัดประชุมขึ้นระหว่างวันที่ 3-6 กันยายน 2567 ในแบบ Mini Roadshow ในพื้นที่เป้าหมาย ได้แก่ จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง และจันทบุรี โดยได้รับเกียรติจากคณะผู้บริหาร สสว. ร่วมด้วย ผู้บริหารหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐ และเอกชน ร่วมประชุมหารือเพื่อหาแนวทางการดำเนินงานที่เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่  

รักษาการแทน ผอ. สสว. เผยอีกว่า ในการประชุม ได้มีการนำเสนอภาพรวมของโครงการส่งเสริมและพัฒนาการเริ่มต้นเป็นผู้ประกอบการที่มีศักยภาพในพื้นที่ EEC และพื้นที่ต่อเนื่อง ภายในปีงบประมาณ 2567 เป็นต้นว่า สิ่งที่ผู้เข้าร่วมโครงการจะได้รับ, คุณสมบัติของผู้สมัครเข้าร่วมโครงการ/กลุ่มเป้าหมาย, แผนการดำเนินกิจกรรมโครงการทั้งหมด, วิธีการรับสมัคร และเกณฑ์การคัดเลือกผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการ, การแนะนำหน่วยงานที่เข้าร่วมประชุมและบทบาทของแต่ละหน่วยงาน

“สิ่งที่ผู้เข้าร่วมโครงการจะได้รับ คือ ความรู้และทักษะที่จำเป็นสำหรับการเป็นผู้ประกอบการใหม่ เพื่อเปิดประตูสู่ธุรกิจและนวัตกรรม, พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการเชิงลึกเพิ่มคุณค่าผ่านการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม, มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการตลาดในประเทศ, มีโอกาสนำสินค้าเข้าร่วมในงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ, มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุน จากสถาบันการเงินของภาครัฐ และการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และเชื่อมโยงธุรกิจระหว่างกลุ่มธุรกิจที่เข้าร่วมโครงการ” นางสาวปณิตาระบุ

ทั้งนี้ ผู้สมัครเข้าร่วมโครงการจะต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้ เป็นบุคคลทั่วไปที่ต้องการเป็นผู้ประกอบการ 

(มีการดำเนินธุรกิจ), ผู้ประกอบการที่ยังไม่จดทะเบียน, ผู้ประกอบการที่จดทะเบียนแล้วไม่เกิน 3 ปี มี

สถานประกอบการตั้งอยู่ในเขตจังหวัดฉะเชิงเทรา, จังหวัดชลบุรี, จังหวัดระยอง และจังหวัดจันทบุรี ที่มีการดำเนินกิจการในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ต่อยอดอัตลักษณ์ เชิงพื้นที่สร้าง Value Creation, อุตสาหกรรมเกษตรและเทคโนโลยี/แปรรูปอาหาร และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ






โดยกิจกรรมการพัฒนาผู้ประกอบการตลอดโครงการ ตั้งแต่เดือนกันยายน ถึง เดือนธันวาคม 2567 จะประกอบไปด้วย กิจกรรมที่ 1 :  ฝึกอบรมหลักสูตรการอบรมเชิงปฏิบัติการให้ความรู้ Entrepreneurship เปิดประตูสู่ความ เป็นผู้ประกอบการและนวัตกรรม (เดือนกันยายน / 150 ราย) กิจกรรมที่ 2 : กิจกรรมการพัฒนาศักยภาพการดำเนินธุรกิจเชิงลึกโดยรับการพัฒนารายละ 6 ครั้ง (13 กันยายน ถึง 28 ตุลาคม 2567 /รวม 45 วัน) กิจกรรมที่ 3.1 : สนับสนุนและส่งเสริมกิจกรรมทางการตลาดต่างประเทศ (20 ราย) กิจกรรมที่ 3.2 : สนับสนุนและส่งเสริมกิจกรรมทางการตลาดในประเทศ (20 ราย) และกิจกรรมที่ 4 : เชื่อมโยงแหล่งเงินทุน ได้แก่ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME D Bank) และสถาบันการเงินอื่นๆ (30 ราย/ ธันวาคม 2567)

สำหรับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ และเอกชน พร้อมจับมือสานพลังในโครงการนี้ อาทิ 

1.สำนักงานสภาเกษตรกรจังหวัด 2.สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด 5.สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัด 6.สำนักงานพาณิชย์จังหวัด 7.สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัด 8.สำนักงานคลังจังหวัด 9. สำนักงานเกษตรจังหวัด 10.หอการค้า 11.สมาพันธ์ SME ไทย 12.สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย 13.คณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และ14.คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา