วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2567

บพข-ม.รามคำแหง ร่วมกับอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง จัดอบรมมาตรฐานการท่องเที่ยวทางทะเลคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ของประเทศไทย เพื่อสนับสนุนสถานที่พักผ่อนเขตร้อนชื้นที่ดีที่สุดอันดับ 2 ของโลก

 บพข-ม.รามคำแหง ร่วมกับอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง จัดอบรมมาตรฐานการท่องเที่ยวทางทะเลคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ของประเทศไทย เพื่อสนับสนุนสถานที่พักผ่อนเขตร้อนชื้นที่ดีที่สุดอันดับ 2 ของโลก



โครงการยกระดับบริหารจัดการการท่องเที่ยวดำน้ำคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ในพื้นที่จังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี ตราด ที่ดำเนินงานโดยมหาวิทยาลัยรามคำแหง และเป็นโครงการในแผนงานการวิจัยการท่องเที่ยวบนฐานมรดกธรรมชาติ การท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และการท่องเที่ยวคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ ภายใต้กลุ่มการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ร่วมกับอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง จังหวัดตราด จัดอบรมหลักสูตรมาตรฐานการท่องเที่ยวทางทะเลคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ของประเทศไทยเพื่อยกระดับมาตรฐานการท่องเที่ยวทางทะเลในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง ในวันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม 2567 ณ ห้องประชุมที่ว่าการอำเภอเกาะช้าง อำเภอเกาะช้าง จังหวัดตราด

รองศาสตราจารย์ ดร.ธรรมศักดิ์ ยีมิน ผู้อำนวยการชุดแผนงานการท่องเที่ยวบนฐานมรดกทางธรรมชาติ การท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และการท่องเที่ยวคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ บพข. ร่วมกับคณาจารย์และนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง ดำเนินการวิจัยที่ได้รับการสนับสนุนจากผู้ช่วยศาสตราจารย์สุภาวดี โพธิยะราช ผู้เชี่ยวชาญอาวุโสจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ซึ่งได้ริเริ่มแนวคิดการพัฒนาให้ประเทศไทยเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ยั่งยืนระดับโลกบนฐานมรดกทางธรรมชาติ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการท่องเที่ยวคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ ซึ่งพร้อมก้าวสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Pathway) ในภาคการท่องเที่ยวโดยดำเนินงานร่วมกับภาคีองค์กรเครือข่ายเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคการท่องเที่ยว และส่งเสริมการท่องเที่ยวธรรมชาติเชิงบวก (Nature Positive Tourism) ซึ่งมุ่งเน้นการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ เช่น แนวปะการัง ป่าชายเลน ฯลฯ รวมถึงการสนับสนุนแนวทางการแก้ปัญหาด้วยธรรมชาติ (Nature-based Solutions) ซึ่งจะช่วยยกระดับมาตรฐานการท่องเที่ยวของผู้ประกอบการท่องเที่ยวทางทะเลในจังหวัดตราด โดยเฉพาะการตระหนักถึงการท่องเที่ยวที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมการวัดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ การลดและการชดเชยคาร์บอนจากกิจกรรมท่องเที่ยวทางทะเล


การจัดอบรมหลักสูตรมาตรฐานการท่องเที่ยวทางทะเลคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ของประเทศไทย เพื่อยกระดับมาตรฐานการท่องเที่ยวทางทะเลในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง ได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการท่องเที่ยวทางทะเลเป็นจำนวนมาก โดยมาตรฐานดังกล่าวได้พัฒนามาจากมาตรฐานการท่องเที่ยวระดับสากลของหลายองค์กร ซึ่งครอบคลุมกิจกรรมการท่องเที่ยวทางทะเล 4 ประเภท ได้แก่ ดำน้ำตื้น ดำน้ำลึก แคนู/คายัค และเจ็ตสกี โดยมี 6 องค์ประกอบสำคัญดังนี้: 1) การบริหารจัดการที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ 2) การใช้ประโยชน์ด้านเศรษฐกิจและสังคมของชุมชนท้องถิ่นอย่างยั่งยืน 3) การอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างยั่งยืนสำหรับชุมชนและนักท่องเที่ยว 4) การลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรอย่างยั่งยืน 5) การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ ระบบนิเวศ และภูมิทัศน์ และ 6) การบริหารจัดการธุรกิจท่องเที่ยงทางทะเลคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ การอบรมฯ ครั้งนี้ได้แนะนำ TOOLKIT มาตรฐานการท่องเที่ยวทางทะเลคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ ซึ่งออกแบบมาให้ผู้ประกอบการและผู้สนใจสามารถเข้าถึงได้ง่าย สามารถเรีนยรู้ผ่านการอบรมออนไลน์และการเรียนรู้ด้วยตนเอง TOOLKIT นี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวเข้าใจและนำมาตรฐานดังกล่าวไปปรับใช้ในธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ คณะผู้จัดอบรมฯ ได้ประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและชดเชยคาร์บอนผ่านแอปพลิเคชัน

 “ZERO CARBON” 

นายเนรมิต สงแสง หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง เปิดเผยว่า เกาะช้าง จังหวัดตราด ได้รับการจัดอันดับให้เป็นสถานที่พักผ่อนเขตร้อนชื้นที่ดีที่สุดอันดับ 2 ของโลก โดยนิตยสาร Travel + Leisure ซึ่งเป็นสื่อชั้นนำด้านการท่องเที่ยวและไลฟ์สไตล์ เกาะช้างเป็น "อัญมณีแห่งอ่าวไทย" ได้รับการยกย่องให้อยู่ในอันดับสูงสุดเคียงคู่กับสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิ พาลาวัน (ฟิลิปปินส์) และบาหลี (อินโดนีเซีย) ซึ่งสะท้อนถึงความงดงามทางธรรมชาติ วัฒนธรรม และศักยภาพด้านการท่องเที่ยวที่โดดเด่นของหมู่เกาะช้าง ที่มีระบบนิเวศหลากหลาย ทั้งป่าดิบชื้น น้ำตก ชายหาด และแนวปะการังที่อุดมสมบูรณ์ นักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสกับธรรมชาติที่งดงามผ่านกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การเดินป่า ดำน้ำดูปะการัง และการล่องเรือชมวิถีชีวิตชาวประมงพื้นบ้าน ซึ่งช่วยสร้างประสบการณ์ท่องเที่ยวที่แตกต่างให้กับผู้มาเยือน ผลการจัดอันดับครั้งนี้จะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวของเกาะช้างและประเทศไทยโดยรวม โดยดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพสูงจากทั่วโลกให้มาสัมผัสหมู่เกาะช้าง ดังนั้นการอบรมมาตรฐานการท่องเที่ยวทางทะเลคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ของประเทศไทยจึงนับเป็นก้าวสำคัญในการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการและผู้เกี่ยวข้องเข้าใจและปฏิบัติตามมาตรฐานการท่องเที่ยวฯ รวมถึงการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสร้างสรรค์ประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ยั่งยืน

คุณอรุณวรรณ ใจประสาน และคุณจเร กังวาลไกล ผู้ประกอบการท่องเที่ยวทางทะเลในพื้นที่หมู่เกาะช้าง จังหวัดตราด กล่าวว่ามาตรฐานการท่องเที่ยวทางทะเลคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ของประเทศไทยจะช่วยยกระดับคุณภาพการท่องเที่ยวให้มีความยั่งยืน และส่งเสริมให้ผู้ประกอบการและนักท่องเที่ยวมีความตระหนักและมีส่วนร่วมในการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมทางทะเล ผู้ประกอบการสามารถดำเนินกิจกรรมการท่องเที่ยวโดยคำนึงถึงการลดการปล่อยคาร์บอน การใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างประหยัดและเกิดประโยชน์สูงสุด พร้อมทั้งสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ใกล้ชิดกับธรรมชาติและช่วยกันรักษาความงดงามของระบบนิเวศในพื้นที่เกาะช้าง นอกจากนี้ มาตรฐานการท่องเที่ยวฯ ดังกล่าวยังเน้นการส่งเสริมการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลที่หลากหลาย เช่น แนวปะการัง หญ้าทะเล และระบบนิเวศในเขตชายฝั่ง ซึ่งมีส่วนสำคัญในการสนับสนุนการท่องเที่ยวในระยะยาวและช่วยกระตุ้นการมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่นในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งนี้การใช้มาตรฐานการท่องเที่ยวคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ถือเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถพัฒนากิจกรรมและธุรกิจท่องเที่ยวได้อย่างยั่งยืน


ฉลองครบรอบ 30 ปี “เฮเฟเล่ ประเทศไทย” จัดใหญ่มหกรรมลดราคาแห่งปี “HÄFELE 30th Anniversary Big Clearance Sale 2024” ลดสูงสุด 90% !!

 ฉลองครบรอบ 30 ปี “เฮเฟเล่ ประเทศไทย” จัดใหญ่มหกรรมลดราคาแห่งปี “HÄFELE 30th Anniversary Big Clearance Sale 2024” ลดสูงสุด 90% !!

เฮเฟเล่ ฉลองโอกาสพิเศษครบรอบ 30 ปี จัดอีเว้นต์ “HÄFELE 30th Anniversary Big Clearance Sale 2024” ดีลใหญ่ประจำปีลดสูงสุด 90% พบกับสินค้าคุณภาพจากแบรนด์เยอรมนี ตอบสนองทุกความต้องการครบจบในงานเดียว อาทิ อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์, อุปกรณ์เฟอร์นิเจอร์ฟิตติ้ง, เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัว, สุขภัณฑ์และอุปกรณ์ห้องน้ำ พร้อมกิจกรรมสุดพิเศษอีกเพียบ !! ร่วมเติมเต็มการใช้ชีวิตในบ้านและอาคารให้สมบูรณ์แบบ พบกัน 31 ต.ค. 2567 – 2 พ.ย. 2567 นี้ ที่ เฮเฟเล่ ดีไซน์ สตูดิโอ สุขุมวิทซอย 64

คุณพัลลภ คมน์อนันต์ General Manager - Marketing Management (ผู้จัดการฝ่ายบริหาร การตลาด )บริษัท เฮเฟเล่ (ประเทศไทย) จำกัด  กล่าวถึงความสำเร็จของอีเว้นต์ Big Clearance Sale ที่มีผลตอบรับอันยอดเยี่ยมจากลูกค้าคนรักบ้านมาตลอดทุกปี ซึ่งไม่เพียงแต่จะเป็นช่วงเวลาคืนกำไรที่เราตั้งใจมอบให้ แต่ยังเป็นจุดหมายการช้อปที่ช่วยเติมเต็มชีวิตในบ้านและอาคาร ได้อย่างสมบูรณ์แบบอีกด้วย ช่วงส่งท้ายปีนี้ เราจึงถือเอาโอกาสครบรอบ 30 ปีของเฮเฟเล่ ประเทศไทย มายกระดับเพิ่มความสุขเอาใจนักช้อปนักแต่งบ้านแบบจัดเต็ม ในงาน “HÄFELE 30th Anniversary Big Clearance Sale 2024” มหกรรมลดราคาครั้งใหญ่ที่สุดแห่งปี มาพร้อมคอมพลีทดีลลดสูงสุดถึง 90% !! สมทบด้วยกิจกรรมดี ๆ อีกเพียบ รับความพิเศษกันยาว ๆ ตลอด 3 วันเต็ม



ในงาน HÄFELE 30th Anniversary Big Clearance Sale 2024 จะเต็มไปด้วยสินค้าคุณภาพจากเทคโนโลยีมาตรฐานประเทศเยอรมนี ที่ตอบสนองทุกความต้องการเรื่องบ้านได้ครบจบในงานเดียว โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าไฮไลต์ HÄFELE Door Handles มือจับประตูในงานดีไซน์อันหลากหลาย โมเดิร์น / คลาสสิก / ลอฟท์ / ลักซูรี่ รวมถึงอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์และเฟอร์นิเจอร์ฟิตติ้ง ที่แข็งแรงคงทน แทรกความเป็นนวัตกรรมในตัวไว้อย่างเต็มเปี่ยม, เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวที่ช่วยเพิ่มความสะดวกให้ทุกวันของการใช้ชีวิต อาทิ เตาไฟฟ้า เตาแก๊ส เตาอบ เครื่องทำขนมปัง หม้อทอดไร้น้ำมัน และของใช้อื่น ๆ , สุขภัณฑ์และอุปกรณ์ห้องน้ำ ที่สวยงามและใส่ใจในสุขอนามัยที่ดี อาทิ สายฉีดชำระ อ่างล้างมือ ไปจนถึงโถสุขภัณฑ์และฝักบัวหลายสไตล์การใช้งาน นอกจากนี้ยังมีกลุ่มสมาร์ทเทคโนโลยี, Digital Door Lock, กลุ่มเครื่องมือช่างและอุปกรณ์ DIY ฯลฯ ที่ช่วยเติมเต็มคุณภาพชีวิตได้ครบจบทุกเรื่องบ้านและงานอาคาร

นอกจากนี้ เฮเฟเล่ยังได้เปิดบ้านต้อนรับลูกค้าด้วยกิจกรรมและโปรโมชั่นพิเศษรวมไว้อย่างจุใจ ไม่ว่าจะเป็น 

ซื้อสินค้าในงานครบ 10,000 บาท รับสิทธิ์แลกของรางวัลกลับบ้าน!, ลงทะเบียนเข้างานรับทันทีของพรีเมียม ฟรี!, ลุ้นช้อปสินค้านาทีทองจำนวนจำกัด, จุด Demonstration สาธิตการใช้อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าทำอาหาร และพลาดไม่ได้! เพียงมียอดซื้อตั้งแต่ 3,000 บาทขึ้นไป รับสิทธิ์จัดส่งฟรี! ทุกพื้นที่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล

และพิเศษสุด สำหรับโอกาสครบรอบ 30 ปี เฮเฟเล่ ประเทศไทย ขอเชิญชวนทุกคนมาสัมผัสกับผลงานชิ้นพิเศษ ฉลองการก้าวสู่ทศวรรษครั้งใหม่ ด้วยการสร้างผลงานภายใต้แคมเปญ “HÄFELE Designer Collaboration” ผ่านการจับมือกับ 3 ดีไซเนอร์ชั้นนำของเมืองไทย สัมผัสได้แล้วที่เฮเฟเล่ ดีไซน์ สตูดิโอ ทั่วประเทศ


HÄFELE 30th Anniversary Big Clearance Sale 2024 ดีลใหญ่ประจำปีลดสูงสุด 90% จัดขึ้นในวันที่ 31 ตุลาคม 2567 – 2 พฤศจิกายน 2567 นี้ ตั้งแต่เวลา 09.00-20.00 น. ณ เฮเฟเล่ ดีไซน์ สตูดิโอ สุขุมวิท 64 ใกล้รถไฟฟ้า BTS สถานี ปุณณวิถี ทางออกที่ 4


องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย จัดแสดงนิทรรศการผลงานออกแบบสื่อโฆษณาพิทักษ์สิ่งแวดล้อมสุดสร้างสรรค์ 30 ผลงาน ในแคมเปญ Print Ads Contest" หัวข้อ “ผลกระทบของอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ต่อสิ่งแวดล้อม” นักศึกษาม.กรุงเทพคว้ารางวัลชนะเลิศด้วยผลงานสุดสร้างสรรค์ “อู๊ด อู๊ด” จัดแสดงให้ชมฟรีวันนี้ถึง 3 พ.ย.2567 ณ หอศิลปกรุงเทพฯ

 องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย จัดแสดงนิทรรศการผลงานออกแบบสื่อโฆษณาพิทักษ์สิ่งแวดล้อมสุดสร้างสรรค์ 30 ผลงาน ในแคมเปญ Print Ads Contest" หัวข้อ “ผลกระทบของอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ต่อสิ่งแวดล้อม” นักศึกษาม.กรุงเทพคว้ารางวัลชนะเลิศด้วยผลงานสุดสร้างสรรค์  “อู๊ด อู๊ด” จัดแสดงให้ชมฟรีวันนี้ถึง 3 พ.ย.2567 ณ หอศิลปกรุงเทพฯ


องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย ประกาศผลและมอบรางวัลการประกวดโฆษณาสิ่งพิมพ์ "Print Ads Contest" ภายใต้แนวคิด "ผลกระทบของอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ต่อสิ่งแวดล้อม" พร้อมเปิดนิทรรศการ "Behind The Feed Print Ads" จัดแสดงผลงานสร้างสรรค์จากผู้เข้ารอบ 30 ผลงาน จากผลงานที่ส่งเข้าประกวดอย่างล้นหลามกว่า 200  ผลงาน ชิงเงินรางวัลรวมมูลค่ากว่า 60,000 บาท โดยมีคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิร่วมตัดสินพร้อมด้วยผู้เชี่ยวชาญในวงการครีเอทีฟ และการศึกษา เป็นต้น

สำหรับผู้คว้ารางวัลชนะเลิศ ได้แก่  คุณอริยา อุง นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยกรุงเทพชั้นปีที่ 5 คณะดิจิทัลมีเดียและศิลปะภาพยนตร์ กับผลงานชื่อ “อู๊ด อู๊ด” รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ คุณชนินทร์ จันทวงค์ กับผลงานชื่อ “The true cost of your meal”  และรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ คุณวราพล สุริยา จากผลงานในชื่อ “Assembly Instruction: Deadly Smoke”


คุณโรจนา สังข์ทอง ผู้อำนวยการองค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย กล่าวว่า "ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลกได้รณรงค์เพื่อยกระดับสวัสดิภาพสัตว์ฟาร์ม แต่ความเป็นอยู่ที่ดีของสัตว์จะไม่เกิดขึ้นได้หากระบบฟาร์มอุตสาหกรรมที่เป็นเสมือนเครื่องจักรแห่งความทุกข์ทรมานยังคงขยายตัว ซึ่งวันนี้เราเห็นแล้วว่าระบบฟาร์มอุตสาหกรรมไม่ได้ส่งผลกระทบต่อสัตว์เพียงอย่างเดียว แต่ยังสร้างผลกระทบรุนแรงต่อสุขภาพมนุษย์และสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน เราจึงมุ่งหวังให้มีการสร้างและพัฒนาระบบอาหารที่ยั่งยืนที่ตอบโจทย์ทั้งโภชนาการ มนุษยธรรม และสิ่งแวดล้อม ผ่านการประกวดและนิทรรศการนี้ ที่ใช้พลังของศิลปะเพื่อกระตุ้นให้สังคมตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว"



นอกจากนี้ภายในงาน จัดเสวนาพิเศษ "จุดประกาย: มุมมองครีเอทีฟต่อผลกระทบอุตสาหกรรมอาหารสัตว์" โดยผู้เชี่ยวชาญในวงการครีเอทีฟและสิ่งแวดล้อม เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมอง และแนวทางการสื่อสารประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมผ่านงานสร้างสรรค์ได้อย่างน่าสนใจ เริ่มจาก


คุณโชคดี สมิทธิ์กิตติผล ผู้จัดการแคมเปญระบบอาหาร องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย กล่าวว่า “นิทรรศการ Behind The Feed Print Ads สะท้อนปัญหาสำคัญที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอาหารสัตว์อย่างสร้างสรรค์ โดยเฉพาะการเชื่อมโยงกับปัญหา PM 2.5 การบุกรุกพื้นที่ป่าซึ่งทำลายความหลากหลายทางชีวภาพและถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า และเร่งภาวะโลกร้อนให้รุนแรงขึ้น ผลงานทั้ง 30 ชิ้น ที่ได้รับการคัดเลือกมาจัดแสดงในครั้งนี้ไม่เพียงแค่สะท้อนผลกระทบของอุตสาหกรรมนี้ได้อย่างลึกซึ้ง แต่ยังเป็นการจุดประเด็นให้เกิดการรับรู้ และกระตุ้นให้สังคมตระหนักถึงประเด็นเหล่านี้อย่างมีพลังและเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลง”

คุณมารีญา พูลเลิศลาภ ทูตองค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย กล่าวว่า “สิ่งที่เราเลือกกิน เลือกให้มาอยู่บนจานของเราไม่ได้มีผลต่อสุขภาพของเราเพียงอย่างเดียว แต่มีผลต่อสัตว์ ที่สำคัญคือมีผลกระทบต่อสุขภาพของโลกด้วยเช่นกัน Climate Change หรือ ปัญหาโลกแปรปรวนทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นจากการกินของเรา การใช้พื้นที่เกษตรกรรมเพื่ออาหารสัตว์ การเผา การบุกรุกพื้นที่ป่าเพื่อทำเกษตรกรรมอาหารสัตว์ อาจจะฟังดูโหดร้าย แต่เป็นสิ่งที่เราสามารถแก้ไขได้ เพียงแค่เรารู้จักเลือกเนื้อสัตว์ที่นำมาบริโภค เช่น บริโภคเนื้อสัตว์จากฟาร์มที่ไม่ทารุณกรรมสัตว์ มีระบบการเลี้ยงที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเป็นต้น”

คุณธนบูรณ์ สมบูรณ์ CEO ของ Greenery และ Creative Director ของ CreativeMOVE กล่าวว่า 

“งานครีเอทีฟดีไซน์อย่างการประกวด Behind The Feed Print Ads เป็นอีกช่องทางหนึ่งในการที่จะทำให้คนตระหนักรู้ถึงปัญหาที่โลกเราต้องเผชิญจากอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ได้ง่ายที่สุด เพราะบางครั้งการที่เรามานั่งพูดป้อนข้อมูลกันไป คนอาจจะมองไม่เห็นภาพ แต่ภาพเหล่านี้จะช่วยสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมายได้ดี จากผลงาน เข้ารอบ 30 ผลงานที่นำมาจัดแสดงในครั้งนี้ จะมีส่วนในการสร้างความตระหนักรู้และให้คนหันมาให้ความสนใจต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ และจะมีอิมแพคไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมนี้ในการที่จะผลิตอย่างไรโดยไม่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม”

คุณอริยา อุง ผู้รับรางวัลชนะเลิศจากผลงานชื่อ “อู๊ด อู๊ด” เผยถึงแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานชิ้นนี้ว่า “สัตว์เลือกกินไม่ได้ เขาไม่รู้หรอกว่าอาหารที่มนุษย์ให้กินนั้น ผ่านอะไรมาบ้าง ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไร ดังนั้นมนุษย์ที่เป็นผู้บริโภคเช่นกันต้องเป็นคนที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ในการบอกไปยังผู้ผลิต ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตอาหารสัตว์ หรือฟาร์มเลี้ยงสัตว์ก็ตามว่า ถ้ายังไม่หยุดทำอุตสาหกรรมที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สุดท้ายแล้วมนุษย์เองไม่ว่าจะอยู่ในฐานะผู้ผลิตหรือผู้บริโภค จะได้รับผลกระทบมากที่สุด”



ทั้งนี้ผู้สนใจสามารถเข้าชมนิทรรศการครั้งนี้ได้ฟรี ตั้งแต่วันนี้ถึง 3 พฤศจิกายน 2567 ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร และติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง Facebook: World Animal Protection Thailand หรือเว็บไซต์  https://www.worldanimalprotection.or.th/behind-the-feed    

# PrintAdContest2024

# BehindTheFeed

# WorldAnimalProtectionThailand


**************************************************************

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาติดต่อตัวแทนฝ่ายประชาสัมพันธ์ บริษัท SASI PR Consultant 

คุณศศิธร กนิษฐ์โรจน์   โทร. 092-784-4565   Email: Sasipr9@hotmail.com 


วันพุธที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2567

สคส. ตอกย้ำความมั่นใจภาครัฐ เอกชน และประชาชน ชูศูนย์ PDPA Center รับเรื่องร้องเรียน ช่วยแก้ไขปัญหาการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล

 สคส. ตอกย้ำความมั่นใจภาครัฐ เอกชน และประชาชน ชูศูนย์ PDPA Center รับเรื่องร้องเรียน ช่วยแก้ไขปัญหาการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล

สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) หรือ PDPC ได้ตอกย้ำ “ศูนย์บริการรับเรื่องร้องเรียนและให้คำปรึกษาการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล PDPA Center” เป็นช่องทางเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการ และดำเนินการยื่นเรื่องร้องเรียนด้านการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลอย่างรวดเร็ว และครบวงจร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกให้ภาครัฐ เอกชน และประชาชน ในการยื่นเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล พร้อมเสริมสร้างความมั่นใจ และความเชื่อมั่นในกระบวนการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

พ.ต.อ.สุรพงศ์ เปล่งขำ ผู้อำนวยการสำนักตรวจสอบและกำกับดูแล สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) หรือ PDPC เปิดเผยว่า ตั้งแต่เปิดศูนย์ PDPA Center มีเรื่องร้องเรียนเข้ามาทั้งหมด 823 เรื่อง แบ่งออกเป็น 12 ประเภท ได้แก่ ธุรกิจธนาคาร ประกันภัย สินเชื่อเงินสด โทรคมนาคม ขนส่งและโลจิสติกส์ การขายของออนไลน์ สื่อสังคมออนไลน์ หน่วยงานภาครัฐ โรงพยาบาลและสาธารณสุข และด้านการวิจัย โดยประเภทที่มีจำนวนเรื่องร้องเรียนมากที่สุดคือ “ประเภทอื่น ๆ” จำนวน 347 เรื่อง ซึ่งส่วนมากเกี่ยวข้องกับกรณีประชาชนร้องเรียนกันเอง หรือร้องเรียนร้านค้าทั่วไปที่ไม่ใช่ช่องทางออนไลน์ รวมถึงกรณีร้องเรียนนิติบุคคลที่เป็นคอนโด หอพัก หรือเอกชนที่ไม่เกี่ยวข้องกับประเภทอื่น ๆ

นอกจากนี้ PDPA Center ได้ดำเนินการพิจารณาและแก้ไขเรื่องร้องเรียนเสร็จสิ้นแล้ว 181 เรื่อง จากเรื่องร้องเรียนทั้งหมด คิดเป็นร้อยละ 21.99 โดยแบ่งเป็นการมีคำสั่งทางปกครองจำนวน 180 เรื่อง และการไกล่เกลี่ยจำนวน 1 เรื่อง ส่วนเรื่องที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริงและเสนอให้คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญพิจารณามีจำนวน 450 เรื่อง และอีก 192 เรื่องถูกจำหน่ายเนื่องจากเอกสารไม่ครบถ้วน

ศูนย์ PDPA Center ได้รับเรื่องร้องเรียนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เฉลี่ยเพิ่มขึ้นเดือนละ 5-10 เรื่อง ในบางเดือนพบการเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะกรณีที่มีผู้เสียหายหลายรายจากผู้ถูกร้องเรียนรายเดียวกัน สะท้อนถึงปัญหาการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลที่ต้องการการคุ้มครองอย่างเข้มงวดมากขึ้น

พ.ต.อ.สุรพงศ์ เปล่งขำ กล่าวต่ออีกว่า บทบาทของ PDPA Center ในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลไม่เพียงแต่เป็นจุดรับเรื่องร้องเรียนเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการให้คำปรึกษา และแนะนำแนวทางปฏิบัติตามกฎหมาย PDPA แก่หน่วยงานภาครัฐและเอกชน รวมถึงดำเนินการด้านการเสริมสร้างความเข้าใจในกฎหมาย PDPA และการปฏิบัติตามข้อกำหนดให้สอดคล้องกับกฎหมาย อีกทั้งเป็นตัวกลางในการแก้ไขข้อขัดแย้งที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงการให้คำแนะนำฉุกเฉินในกรณีที่เกิดการโจมตีทางไซเบอร์อีกด้วย

“และเพื่อเพิ่มช่องทางช่วยเหลือประชาชนในต่างจังหวัด สคส. ได้ขยายศูนย์บริการฯ ไปยังจังหวัดต่าง ๆ ครอบคลุม 6 จังหวัด ในหัวเมืองใหญ่ เชียงใหม่ ชลบุรี นครราชสีมา นครสวรรค์ สงขลา และสมุทรปราการ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มช่องทางในการยื่นเรื่องร้องเรียน และให้คำปรึกษาด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลแก่ประชาชนได้สะดวก และรวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งศูนย์บริการนี้จะทำหน้าที่สำคัญในการสนับสนุนให้หน่วยงานทั้งภาครัฐ และเอกชนปฏิบัติตามข้อกำหนดของกฎหมายอย่างถูกต้อง ทั้งยังสามารถจัดการเรื่องร้องเรียนได้ครอบคลุมมากขึ้น รวมถึงการเสริมสร้างการรับรู้ถึงสิทธิ และหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคลในชุมชนท้องถิ่นอีกด้วย” พ.ต.อ. สุรพงศ์ เปล่งขำ กล่าวทิ้งท้าย


###########

ช่องทางการติดต่อ PDPC หรือ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) 

โทร. 02 1118800

📞 กด 0 โอเปอเรเตอร์

📞 กด 1 ขอรับคำปรึกษาด้านกฎหมาย

📞 กด 2 เรื่องร้องเรียน

📞 กด 3 สอบถามเพิ่มเติมการแจ้งเหตุละเมิด

📞 กด 4 การเงิน บัญชี และพัสดุ

📞 กด 5  งานสารบรรณ

    Line ID: @pdpcthailand

💻  ส่งหนังสือราชการ ผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ ดังนี้

📧  e-mail : saraban@pdpc.or.th 🌐 เว็บไซต์ : www.pdpc.or.th

#PDPC #PDPA #สคส #PDPACenter #ข้อมูลส่วนบุคคล


ไทย-ไต้หวันร่วมยกระดับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เสริมแกร่งกำลังคนทักษะสูง สู่ฮับการผลิต PCB แห่งอาเซียน

 ไทย-ไต้หวันร่วมยกระดับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เสริมแกร่งกำลังคนทักษะสูง สู่ฮับการผลิต PCB แห่งอาเซียน

กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ร่วมกับมหาวิทยาลัยชั้นนำของไทย ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับสมาคมแผงวงจรไต้หวัน (TPCA) พัฒนากำลังคนและยกระดับอุตสาหกรรมการผลิตแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) ของไทย พร้อมร่วมงาน TPCA Show 2024 แสดงศักยภาพความพร้อมของไทยในการเป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ชั้นนำของภูมิภาค นับเป็นความร่วมมือครั้งสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ชั้นสูงของประเทศไทย


ผศ.ดร.พูลศักดิ์ โกษียาภรณ์ นักยุทธศาสตร์ระดับสูง รักษาการแทนรองผู้อำนวยการ สอวช. พร้อมด้วยผู้บริหารมหาวิทยาลัย นำโดย รศ.ดร.สุวิทย์ แซ่เตีย อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และผู้บริหารจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ได้เดินทางเยือนสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ระหว่างวันที่ 22-25 ตุลาคม 2567 เพื่อกระชับความร่วมมือด้านการพัฒนากำลังคนและเทคโนโลยีกับภาคอุตสาหกรรม PCB ของไต้หวัน ซึ่งเป็นผู้นำด้านการผลิตแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ระดับโลก


คณะผู้แทนไทยได้เยี่ยมชมโรงงานผลิต PCB ชั้นนำของไต้หวัน เพื่อศึกษาเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยและแนวโน้มการพัฒนาของอุตสาหกรรม นอกจากนี้ยังได้เข้าเยี่ยมชมภาควิชา Semiconductor Engineering คณะวิศวกรรมศาสตร์ ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีหลงหัว ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาที่มีความเชี่ยวชาญด้านเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ชั้นสูง เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาหลักสูตรและการผลิตบุคลากรให้ตรงตามความต้องการของอุตสาหกรรม 


เป้าหมายของการเยือนครั้งนี้คือการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่าง TPCA กับหน่วยงานไทย ซึ่งครอบคลุมความร่วมมือในหลายมิติ ได้แก่ การพัฒนาโปรแกรมการฝึกอบรมเฉพาะทางด้าน PCB สำหรับนักศึกษาและบุคลากรไทย การจับคู่การฝึกงานระหว่างนักศึกษาไทยกับบริษัทผู้ผลิต PCB ชั้นนำ การส่งเสริมการจ้างงานบัณฑิตไทยในอุตสาหกรรม PCB และการจัดการศึกษาแบบบูรณาการระหว่างภาคอุตสาหกรรมและสถาบันการศึกษา 

ผศ.ดร.พูลศักดิ์ ได้กล่าวถึงความสำคัญของความร่วมมือครั้งนี้ว่าเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับความสัมพันธ์ไทย-ไต้หวัน โดยที่ผ่านมา กระทรวง อว. ได้ร่วมกับ BOI และ TPCA จัดโครงการ Online Job Matching เชื่อมโยงบัณฑิตไทยกับบริษัท PCB ชั้นนำจากไต้หวันที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี การมีส่วนร่วมของมหาวิทยาลัยจากทุกภูมิภาคในครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของประเทศในการพัฒนากำลังคนทักษะสูงเพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรม PCB ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่สำคัญของประเทศ


ในส่วนของการร่วมงาน TPCA Show 2024 ซึ่งเป็นงานแสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้าน PCB ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย สอวช. และมหาวิทยาลัยชั้นนำของไทย ได้เข้าร่วมการจัดแสดงนิทรรศการในโซน "Thai Pavilion" เพื่อนำเสนอ STEMPlus แพลตฟอร์มการพัฒนากำลังคนสมรรถนะสูง ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดความร่วมมือระหว่างภาคอุตสาหกรรม อุดมศึกษา และภาครัฐ โดย นางสาวภาณิศา หาญพัฒนนันท์ ผู้อำนวยการฝ่ายนวัตกรรมอุดมศึกษาและการพัฒนาทักษะแห่งอนาคต สอวช. ได้นำเสนอบทบาทของ สอวช. และ STEMPlus แพลตฟอร์ม ในการเป็นกลไกกลางเชื่อมโยงความต้องการกำลังคนของภาคอุตสาหกรรมกับการผลิตบัณฑิตของสถาบันอุดมศึกษา เพื่อช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุนในด้านความพร้อมของกำลังคนคุณภาพสูง

นอกจากนี้ ผู้แทนจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศไทยยังได้นำเสนอศักยภาพในการผลิตบุคลากรคุณภาพสูงป้อนสู่อุตสาหกรรม ทั้งในด้านหลักสูตรการเรียนการสอน การวิจัยและพัฒนา และความพร้อมของห้องปฏิบัติการและโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมงานเป็นอย่างมาก

ความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรม PCB ไทย ผ่านการพัฒนากำลังคนทักษะสูง การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการยกระดับมาตรฐานการศึกษา อันจะนำไปสู่การดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ การสร้างงานคุณภาพสูงสำหรับกำลังแรงงานไทย และการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี


----------------------------------------


สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม : สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) 

โทรศัพท์ 02 109 5432 ต่อ 419 มือถือ 06-4474-1696 (กชวรรณ)

Email: pr@nxpo.or.th / Website: www.nxpo.or.th / Facebook: https://www.facebook.com/NXPOTHAILAND/


PET FAIR SOUTH EAST ASIA: แรงขับเคลื่อนสำคัญในการกระตุ้นธุรกิจสัตว์เลี้ยงในภูมิภาคเอเชีย

 PET FAIR SOUTH EAST ASIA: แรงขับเคลื่อนสำคัญในการกระตุ้นธุรกิจสัตว์เลี้ยงในภูมิภาคเอเชีย

30 ตุลาคม 2567: กรุงเทพฯ – วีเอ็นยู เอเชีย แปซิฟิค ร่วมกับ บริษัท Globus Events และ กระทรวงพาณิชย์ กรมปศุสัตว์ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) สมาคมที่เกี่ยวข้อง ตัวแทนจากหน่วยงานราชการและเอกชน เปิดตัวการจัดงาน "PET FAIR SOUTH EAST ASIA" (เพ็ท แฟร์ เซาส์ อีสท์ เอเชีย) อย่างเป็นทางการ โดยงานครั้งนี้จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ระหว่างวันที่ 30 ตุลาคม – 1 พฤศจิกายน 2567 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค กรุงเทพฯ


ครั้งนี้นับเป็นการจัดงานครั้งที่ 3 ของงาน "PET FAIR SOUTH EAST ASIA" โดยยกระดับประสบการณ์จากงานแสดงสินค้าเพื่อการค้าปลีกสู่การเป็นเวทีระดับสากลในการเจรจาธุรกิจ โดยมีบริษัทชั้นนำกว่า 400 แห่ง จาก 40 ประเทศ และพร้อมต้อนรับผู้เข้าชมงานจาก 80 ประเทศทั่วโลก ในปี 2024 นี้มีพาวิลเลี่ยนนานาชาติจาก 12 ประเทศ ที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ พร้อมด้วยงานสัมมนาเชิงวิชาการที่น่าสนใจกว่า 40 วิทยากรชั้นนำ ภายในงานยังมีโซนพิเศษ Thai Pet Avenue ซึ่งเป็นการรวบรวม SMEs ไทยในอุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยงมาแสดงสินค้าที่เน้นความคิดสร้างสรรค์และคุณภาพ ตอบสนองต่อความต้องการของตลาดในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังมี "Pet Trade Service Consultants Zone" เพื่อให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการนำเข้า ส่งออก การจดทะเบียนการค้า และมาตรฐานสินค้าที่เกี่ยวข้อง เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการในการขยายธุรกิจไปยังตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพและขยายฐานการตลาดได้เพิ่มมากขึ้น


ซึ่งงานนี้ถือเป็นเวทีสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและยกระดับมาตรฐานของอุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยงในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ผู้จัดพร้อมรองรับผู้เข้าชมงานกว่าหมื่นรายจากนานาชาติ และคาดการณ์ว่าการจัดงานครั้งนี้จะสร้างมูลค่าการค้าสูงถึง 850  ล้านบาท (ประมาณ 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) จากข้อตกลงที่เกิดขึ้นทั้งในระหว่างและหลังงานแสดงสินค้า การจัดงานครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการเติบโตระยะยาวและสร้างความร่วมมือเพื่อเสริมสร้างอุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และระดับนานาชาติ

 


นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ประธานในพิธีเปิดงาน กล่าวว่า “อุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยงของไทย โดยเฉพาะอาหารสัตว์เลี้ยงเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมสำคัญที่ทำรายได้เข้าประเทศเป็นจำนวนมาก ปัจจุบันประเทศไทยเป็นผู้ผลิตชั้นนำและเป็นผู้ส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงรายใหญ่อันดับสองของโลก รองจากเยอรมนี ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 ประเทศไทยส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงมีมูลค่ากว่า 2.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาถึง 26% การเติบโตที่สูงขึ้นอย่างมากนี้สะท้อนถึงศักยภาพและความทุ่มเทของผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยในการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงที่มีคุณภาพสูงเป็นที่ยอมรับในระดับสากล และมีผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลายสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคทุกกลุ่มทั่วโลก 

“กรมปศุสัตว์เล็งเห็นความสำคัญเกี่ยวกับอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยง เป็นอุตสาหกรรมที่ยั่งยืนสามารถเป็นแหล่งที่ก่อให้เกิดรายได้ของประเทศจำนวนมากและส่งผลที่เป็นประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตของประเทศ กรมปศุสัตว์ จึงได้มีการจัดตั้งศูนย์ส่งเสริมอาหารสัตวเลี้ยงเเบบครบวงจร หรือ PET FOOD SERVICE CENTER (PFSC) ขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกและเป็นศูนย์กลางเกี่ยวกับอาหารสัตว์เลี้ยงโดยตรง เราได้นำระบบอิเล็คทรอนิกส์ New Single Window  เข้ามาใช้งานเป็นการอานวยความสะดวกต่อผู้ประกอบการอาหารสัตว์เลี้ยงให้มีความสะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้นเพื่อช่วยในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงของประเทศให้พัฒนาและยั่งยืนทัดเทียมประเทศอื่น” กล่าวโดย นายสัตวเเพทย์ สมชวน รัตนมังคลานนท์ อธิบดีกรมปศุสัตว์

นายสราญโรจน์ สุทัศน์ชูโต รองผู้อำนวยการ (Chief Operating Officer : COO) และรักษาการผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) กล่าวว่า “ปีนี้ถือเป็นปีที่สามของการจัดงาน งานในครั้งนี้จึงเน้นย้ำถึงความสำคัญที่เพิ่มขึ้นของอุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยงทั้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และทั่วโลก เราภาคภูมิใจที่ได้มีส่วนสนับสนุนการจัดงานครั้งนี้ และมองเห็นถึงศักยภาพอันยิ่งใหญ่ในการยกระดับบทบาทของประเทศไทยในภาคส่วนการดูแลสัตว์เลี้ยงระดับโลก งานนี้เป็นเวทีสำคัญในการสร้างความร่วมมือและความสำเร็จร่วมกันระหว่างผู้แสดงสินค้า ผู้ซื้อ และผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมนี้ ทีเส็บมุ่งมั่นที่จะเชื่อมโยงธุรกิจระหว่างประเทศกับโอกาสทางธุรกิจในภาคส่วนต่าง ๆ ของประเทศไทย เรามั่นใจว่างานนี้สร้างแรงบันดาลใจในการขับเคลื่อนนวัตกรรมและการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง” 

“การจัดงานในครั้งนี้ก้าวเข้าสู่ปีที่ 3 แล้ว มีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีผู้เข้าร่วมจัดแสดงสินค้ากว่า 400 รายจาก 40 ประเทศ รวมถึงบริษัทใหม่อีก 100 แห่ง และยังมีพาวิลเลี่ยนระดับประเทศอีก 12 บูธ และพาวิลเลี่ยนสตาร์ทอัพไทยสุดพิเศษ ภายในงาน เรามุ่งมั่นในการมอบประสบการณ์ที่น่าจดจำมากมาย อาทิ Networking Night, Pitching Contest: Innovators Pitch เป็นการแข่งขันที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการที่มีความคิดสร้างสรรค์ได้นำเสนอนวัตกรรม ปิดท้ายด้วยกิจกรรมการกุศล ร่วมบริจาคกับมูลนิธิเพื่อสุนัขในซอย (Soi Dog) เพื่อเชื่อมโยงความช่วยเหลือจากบรรดาผู้ประกอบการของเราไปยังสังคมไทยต่อไป” กล่าวโดย นายยารูณ วาน โฮป ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท รอยัล ดัตช์ ยาร์เบอร์ส (ผู้จัดงาน)

“ผมรู้สึกยินดีที่ได้เห็นบริษัทจากจีนจำนวนมากและสมาชิกของ Asia Pet Alliance (APA) เข้าร่วมงาน ทั้งในฐานะผู้แสดงสินค้าและผู้เยี่ยมชม สถานะที่แข็งแกร่งของพวกเขาเน้นย้ำถึงความสัมพันธ์ทางธุรกิจและความร่วมมือที่เพิ่มขึ้นระหว่างจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในอุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยง สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญที่เพิ่มขึ้นของการค้าและความร่วมมือในภาคส่วนนี้ระหว่างทั้งสองภูมิภาค เราและวีเอ็นยู เอเชีย แปซิฟิค มีความภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้นำเสนอแพลตฟอร์มอันยอดเยี่ยมซึ่งมอบโอกาสทางการตลาดใหม่ ๆ ให้กับอุตสาหกรรม” กล่าวโดย นายเดวิด จง ผู้ก่อตั้งและประธานบริษัท Globus Events



ขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วมงาน PET FAIR SOUTH EAST ASIA ตั้งแต่วันที่ 30 ตุลาคม – 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 ณ ไบเทค ฮอลล์ 98-100 ตั้งแต่เวลา 10:00-18:00 น. ข้อมูลเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ www.petfairsea.com (ขอสงวนสิทธิสำหรับผู้เข้าชมงานที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไป และสวมใส่ชุดสุภาพเพื่อการเจรจาธุรกิจภายในงาน)  

---------------------------------------------------------------------------------------------------------