วันอังคารที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2567

“สุรพงษ์” กำชับ บขส. พร้อมรับผู้โดยสารเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ คาดวันนี้ผู้โดยสารเดินทางเฉลี่ย 70,000 - 90,000 คน ย้ำ!! นายสถานีเดินรถทั่วประเทศอำนวยความสะดวก - ปลอดภัย – ไม่ให้ตกค้าง

 “สุรพงษ์” กำชับ บขส. พร้อมรับผู้โดยสารเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ คาดวันนี้ผู้โดยสารเดินทางเฉลี่ย 70,000 - 90,000 คน ย้ำ!! นายสถานีเดินรถทั่วประเทศอำนวยความสะดวก - ปลอดภัย – ไม่ให้ตกค้าง


นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ได้กำชับให้บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) เตรียมพร้อมอำนวยความสะดวกรองรับประชาชนที่จะเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ ในช่วงวันที่ 1 - 3 มกราคมนี้ หลังจากวันหยุดช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 โดยเน้นย้ำในเรื่องมาตรการด้านความปลอดภัยของรถโดยสารและพนักงานขับรถให้เป็นไปตามนโยบายกระทรวงคมนาคม



ด้านนายอรรถวิท รักจำรูญ กรรมการฯ รักษาการแทนกรรมการผู้จัดการใหญ่ บขส. กล่าวว่า สำหรับข้อมูลการเดินรถเมื่อวานนี้ (31 ธันวาคม 2567) มีผู้โดยสารเดินทางออกจากกรุงเทพฯ เที่ยวไป จำนวน 53,506 คน เที่ยวกลับ จำนวน 58,749คน รวมทั้งสิ้น จำนวน 112,255 คน ใช้รถโดยสาร (รถ บขส., รถร่วม, รถตู้) เที่ยวไป จำนวน 3,285 เที่ยว เที่ยวกลับ จำนวน 3,556 เที่ยว รวมทั้งสิ้น จำนวน 6,841 เที่ยว



ส่วนวันนี้ (1 มกราคม 2568) คาดการณ์ว่าจะมีผู้โดยสารเดินทางเฉลี่ย 70,000 - 90,000 คน ใช้รถโดยสาร (รถ บขส. รถร่วม รถตู้) เฉลี่ยวันละ 4,200 – 4,500 เที่ยว โดย บขส. ได้กำชับให้นายสถานีเดินรถทั่วประเทศเตรียมพร้อมรองรับการเดินทางในเที่ยวกลับเข้ากรุงเทพฯ จัดรถโดยสารและพนักงานขับรถให้เพียงพอพร้อมบริการประชาชน ซึ่งมั่นใจว่าจะไม่มีผู้โดยสารตกค้าง



ทั้งนี้ บขส.ได้เตรียมพร้อมอำนวยความสะดวกผู้โดยสารที่เดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ โดยรถโดยสาร บขส. ที่จะเข้าส่งผู้โดยสารที่สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) หรือหมอชิต 2 ทุกคัน และจะจอดส่งผู้โดยสารที่สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ประตู 3 เพื่อให้สามารถเดินทางเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน รถไฟฟ้าสายสีแดง รถเมล์ รถแท็กซี่ได้สะดวกยิ่งขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ยังได้ร่วมมือกับองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จัดรถโดยสาร (รถเมล์) เข้าจอดรับ - ส่ง บริการประชาชนในสถานีขนส่งฯ หมอชิต 2, เพิ่มการจัดคิวให้บริการแท็กซี่ เพื่อความสะดวกและเป็นระเบียบ ไม่แออัด รวมทั้งจัดกำลังเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกผู้โดยสารที่เดินทางกลับจากภูมิลำเนา



ด้านความปลอดภัย บขส. ได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ในการตรวจความพร้อมรถโดยสารสาธารณะและพนักงานขับรถก่อนเดินทางทุกคันทุกคน ตาม Checklist และ จุด Checking Point ไม่ว่าจะเป็น อุปกรณ์ด้านความปลอดภัย ค้อนทุบกระจก ถังดับเพลิง ประตูฉุกเฉิน ตรวจสารเสพติด และ ตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ต้องเป็นศูนย์ ใช้ความเร็วรถโดยสารไม่เกิน 90 กิโลเมตร/ชั่วโมง และ จัดพนักงานขับรถ 2 คน ในเส้นทางสายยาวที่ใช้เวลาเดินทางเกิน 4 ชั่วโมง เป็นต้น


///////////////////


กองสื่อสารองค์กรและการตลาด

สำนักอำนวยการ

บริษัท ขนส่ง จำกัด

วันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2567

ปี 2567 ชายฝั่งอันดามัน คุณภาพน้ำทะเลอยู่ในเกณฑ์ดี มากที่สุด

 ปี 2567 ชายฝั่งอันดามัน คุณภาพน้ำทะเลอยู่ในเกณฑ์ดี มากที่สุด

  

 น.ส.ปรีญาพร สุวรรณเกษ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ เปิดเผยว่า การติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำทะเลชายฝั่งทั่วประเทศ จำนวน 210 จุด ซึ่งครอบคลุมพื้นที่การใช้ประโยชน์ตามมาตรฐานคุณภาพน้ำทะเล 

6 ประเภท ผลการประเมินดัชนีคุณภาพน้ำทะเล (Marine Water Quality Index ; MWQI) ปี 2567 มีคุณภาพน้ำทะเลชายฝั่งอยู่ในเกณฑ์ดี ร้อยละ 49 เกณฑ์พอใช้ ร้อยละ 43 เกณฑ์เสื่อมโทรม ร้อยละ 6 และมีเกณฑ์เสื่อมโทรมมาก ร้อยละ 2 

  น.ส.ปรีญาพร กล่าวว่า แหล่งน้ำทะเลที่มีคุณภาพน้ำทะเลดีที่สุด 10 ลำดับแรก ได้แก่ 1) หาดสมิหลา จ.สงขลา 2) หาดในหาน จ.ภูเก็ต 3) หาดต้นไทร จ.กระบี่ 4) อ่าวมาหยา จ.กระบี่ 5) อ่าวโล๊ะซามะ จ.กระบี่ 

6) เกาะยูง จ.กระบี่ 7) เกาะไก่ จ.กระบี่ 8) หาดท้ายเหมือง จ.พังงา 9) หาดบางเบน จ.ระนอง และ 10) บ้านทุ่งริ้น จ.สตูล ส่วนแหล่งน้ำทะเลที่มีคุณภาพน้ำทะเลเสื่อมโทรมมากที่สุด 5 ลำดับแรก ได้แก่ 1) ปากแม่น้ำเจ้าพระยา จ.สมุทรปราการ 2) โรงงานฟอกย้อม กม. 35 จ. สมุทรปราการ 3) ปากคลอง 12 ธันวา จ.สมุทรปราการ 

4) แหลมฉบัง ตอนใต้ จ.ชลบุรี และ 5) ปากแม่น้ำท่าจีน จ.สมุทรสาคร 


 




คุณภาพน้ำทะเลชายฝั่งในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (ปี 2558 – 2567) มีแนวโน้มคงที่ โดยคุณภาพน้ำทะเล ในระดับตั้งแต่พอใช้จนถึงดีมาก รวมมากกว่าร้อยละ 90 พื้นที่ที่มีค่าคุณภาพน้ำอยู่ในเกณฑ์ดี เพิ่มขึ้นมากที่สุด คือ พื้นที่อันดามัน บริเวณที่มีระดับคุณภาพน้ำทะเลเสื่อมโทรมมาก อยู่ในพื้นที่อ่าวไทยตอนใน ซึ่งพารามิเตอร์ที่มีค่าไม่เป็นไปตามมาตรฐานฯ มากที่สุด ได้แก่ กลุ่มสารอาหารและกลุ่มแบคทีเรีย โดยปริมาณสารอาหารอาจส่งเสริมให้เกิดภาวะการเกิดน้ำทะเลเปลี่ยนสีได้มากขึ้น น.ส. ปรีญาพร กล่าว

สถานการณ์การท่องเที่ยวระหว่างวันที่ 23 - 29 ธันวาคม 2567

 สถานการณ์การท่องเที่ยวระหว่างวันที่ 23 - 29 ธันวาคม 2567

นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยผลการประเมินจำนวนนักท่องเที่ยว เบื้องต้นพบว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 29 ธ.ค. 67 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาสะสมแล้วกว่า 35 ล้านคน สำหรับในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาแตะระดับเก้าแสนคนต่อสัปดาห์ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปีพ.ศ 2563 แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมจากทั่วโลก 

โดยนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะใกล้ (Short haul) และนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะไกล (Long haul) เดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มตลาด โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวตลาดหลักอย่างมาเลเซียที่เดินทางเข้ามาแตะระดับหนึ่งแสนคนต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่สอง และขยับขึ้นมาเป็นกลุ่มที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเป็นอันดับที่หนึ่ง ส่งผลให้ภาพรวมในสัปดาห์นี้ มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งสิ้น 943,269 คน เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า 56,797 คน หรือร้อยละ 6.41 คิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยเฉลี่ยวันละ 134,753 คน โดย 5 อันดับแรกของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ได้แก่ มาเลเซีย (129,270 คน) จีน (121,413 คน) รัสเซีย (66,215 คน) อินเดีย (54,947 คน) และเกาหลีใต้ (44,568 คน) โดยนักท่องเที่ยวชาวรัสเซีย มาเลเซีย และอินเดีย มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า ร้อยละ 17.01 ร้อยละ7.86 และร้อยละ 5.14 ตามลำดับ ในขณะที่นักท่องเที่ยวชาวจีน และเกาหลีใต้ มีการปรับตัวลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้า ร้อยละ 7.86 และร้อยละ 6.51 ตามลำดับ

       สําหรับในสัปดาห์ถัดไป คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาทรงตัวจากปัจจัยส่งเสริมการเดินทาง ได้แก่ การเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะไกล (Long haul) โดยเฉพาะตลาดภูมิภาคยุโรป การมีมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่มีผลต่อจำนวนที่นั่งเข้าไทย (Seat Capacity) ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมจนถึงสิ้นปี เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 การมีมาตรการ Ease of traveling ของรัฐบาล ที่ช่วยเพิ่มการอํานวยความสะดวกในการเดินทางสู่ไทย การยกเว้นบัตร ตม.6 ในด่านทางบก รวมถึงการกระตุ้นและส่งเสริมให้สายการบินเพิ่มจํานวนเที่ยวบินมากยิ่งขึ้น

สําหรับภาพรวมการท่องเที่ยวในสัปดาห์นี้ โดยข้อมูล ณ วันที่ 30 ธ.ค. 67 พบว่า ประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติสะสมตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 29 ธ.ค. 67 ที่ผ่านมาทั้งสิ้น 35,321,592 คน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้วประมาณ 1,662,461 ล้านบาท โดยจำนวนนักท่องเที่ยวสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน (6,702,554 คน) มาเลเซีย (4,929,455 คน) อินเดีย (2,116,250 คน) เกาหลีใต้ (1,859,738 คน) และรัสเซีย (1,725,901 คน) ในขณะที่นักท่องเที่ยวชาวไทยเที่ยวไทยในปี 2567 คาดว่าจะมีจำนวน 197.53 ล้านคน-ครั้ง สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวชาวไทยเที่ยวไทยแล้วประมาณ 952,768 ล้านบาท


  31 ธันวาคม 2567


อธิบดีกรมทางหลวงชนบท ลงพื้นที่แขวงทางหลวงชนบทในพื้นที่ภาคกลาง พร้อมกำชับศูนย์อำนวยความปลอดภัยของกรมทั่วประเทศ เข้มงวดมาตรการความปลอดภัยให้ประชาชนเดินทางถึงที่หมายอย่างอุ่นใจในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568

 อธิบดีกรมทางหลวงชนบท ลงพื้นที่แขวงทางหลวงชนบทในพื้นที่ภาคกลาง พร้อมกำชับศูนย์อำนวยความปลอดภัยของกรมทั่วประเทศ เข้มงวดมาตรการความปลอดภัยให้ประชาชนเดินทางถึงที่หมายอย่างอุ่นใจในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568

(30 ธ.ค. 67) นายมนตรี เดชาสกุลสม อธิบดีกรมทางหลวงชนบท เปิดเผยว่า วันนี้ได้ลงพื้นที่ศูนย์อำนวยความปลอดภัยของแขวงทางหลวงชนบท (ขทช.) ในพื้นที่ภาคกลาง ได้แก่ ขทช.ชัยนาท ขทช.ลพบุรี และขทช.สิงห์บุรี ซึ่งขณะนี้เป็นช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ประชาชนต่างออกเดินทางกลับภูมิลำเนาและท่องเที่ยวตามพื้นที่ต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก เพื่อเป็นการอำนวยความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชนบนโครงข่ายทางหลวงชนบท จึงได้ย้ำกำชับให้ศูนย์อำนวยความสะดวกปลอดภัยของกรมทางหลวงชนบท (ทช.) ในทุกพื้นที่เข้มงวดมาตรการความปลอดภัยให้ประชาชนเดินทางถึงที่หมายด้วยความอุ่นใจอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมทั้งให้จัดเตรียมอุปกรณ์คอยให้ความช่วยเหลือ ที่พักคอย อาหารและเครื่องดื่มให้เพียงพอ เพื่อให้บริการประชาชนอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ยังได้กำชับให้จัดชุดลาดตระเวนออกสำรวจสายทางอย่างต่อเนื่อง เป็นการเฝ้าระวังอุบัติเหตุที่อาจขึ้นกับประชาชน


อธิบดีฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้จากการรายงานสถิติอุบัติเหตุของ ทช. ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 ระหว่างวันที่ 27 ธ.ค. 2567 ถึง 5 ม.ค. 2568 (ข้อมูล ณ วันที่ 30 ธ.ค. 67 เวลา 08.00 น.) พบสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุสูงสุดคือ การขับรถเร็ว ขับรถตัดหน้า และดื่มแอลกอฮอล์ตามลำดับ ซึ่งเกิดขึ้นมากที่สุดในช่วงเวลา 08.01 - 24.00 น. ดังนั้นจึงฝากย้ำเตือนประชาชนให้ระมัดระวังในการขับขี่ สวมหมวกกันน็อก และคาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้งขณะเดินทาง เมาไม่ขับ ใช้รถใช้ถนนอย่างมีสติโดยคำนึงถึงความปลอดภัยของตนเองและเพื่อนร่วมทาง หากพบว่าประสิทธิภาพในการขับขี่ลดลงให้จอดแวะพักตามจุดบริการประชาชนโดยทันทีก่อนที่จะออกเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางต่อไป



อย่างไรก็ตาม หากประชาชนต้องการความช่วยเหลือ สามารถขอรับการช่วยเหลือได้ที่ศูนย์ความปลอดภัยของ ทช. ได้ในทุกพื้นที่ หรือแจ้งเหตุได้ที่สายด่วนกรมทางหลวงชนบท โทร. 1146

คพ.จัด 10 ลำดับแหล่งน้ำสะอาด ปี 2567

 คพ.จัด 10 ลำดับแหล่งน้ำสะอาด ปี 2567

นางสาวปรีญาพร สุวรรณเกษ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ เปิดเผยว่า คพ. มีการติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำสำคัญทั่วประเทศ จำนวน 398 จุดตรวจวัด ใน 61 แหล่งน้ำสายหลัก และ 9 แหล่งน้ำนิ่ง ดำเนินการตรวจวัด 4 ครั้งต่อปี และประเมินโดยใช้ดัชนีคุณภาพน้ำ (Water Quality Index ; WQI) ปี 2567 พบว่า มีแหล่งน้ำที่มีคุณภาพน้ำอยู่ในเกณฑ์ดี ร้อยละ 43 (30 แหล่งน้ำ) เกณฑ์พอใช้ ร้อยละ 36 (25 แหล่งน้ำ) และเกณฑ์เสื่อมโทรม ร้อยละ 21 (15 แหล่งน้ำ)

นางสาวปรีญาพร กล่าวว่า แหล่งน้ำที่มีคุณภาพน้ำดีที่สุด 10 ลำดับแรก ได้แก่ 1) แม่น้ำแควน้อย 2) แม่น้ำตาปีตอนบน 3) แม่น้ำแควใหญ่ 4) แม่น้ำกก และโขงเหนือ 5) แม่น้ำสงคราม หนองหาร และแม่น้ำลี้ 6) แม่น้ำหลังสวนตอนบน 7) แม่น้ำกุยบุรี แม่น้ำตรัง และแม่น้ำสายบุรี 8) แม่น้ำแม่กลอง และทะเลหลวง 9) แม่น้ำเพชรบุรีตอนบน แม่น้ำพอง แม่น้ำชุมพร และแม่น้ำปัตตานีตอนบน และ 10) แม่น้ำอูน และแม่น้ำลำปาว รวมทั้งหมด 20 แหล่งน้ำ

น้ำเป็นทรัพยากรพื้นฐานที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ทั้งการอุปโภคบริโภคการทำการเกษตรกรรม การอุตสาหกรรม การคมนาคม การผลิตพลังงาน การท่องเที่ยวและกีฬา รวมถึงมีความสำคัญในเชิงนิเวศวิทยาที่ช่วยรักษาความสมดุลของระบบนิเวศต่างๆ ดังนั้น เพื่อยกระดับและรักษาแหล่งน้ำให้มีคุณภาพเหมาะสำหรับการใช้ประโยชน์ ต้องขอความร่วมมือพี่น้องประชาชน และภาคส่วนต่างๆ ในการไม่ทิ้งหรือระบายของเสียลงแหล่งน้ำสาธารณะ ทำการบำบัดน้ำเสียก่อนระบายลงแหล่งน้ำ ลดปริมาณการใช้น้ำ หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมี ปุ๋ย และสารกำจัดศัตรูพืชในกิจกรรมทางการเกษตร นางสาวปรีญาพร กล่าว


วันเสาร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2567

ชพด. มอบเงินให้แก่ มูลนิธิร่วมกตัญญู และมอบข้าวโพดกระป๋องให้ รพ.สงฆ์

 ชพด. มอบเงินให้แก่ มูลนิธิร่วมกตัญญู และมอบข้าวโพดกระป๋องให้ รพ.สงฆ์

ชมรมจิตอาสาเพื่อคนพิการและผู้ด้อยโอกาส (ชพด.) มอบเงินบริจาคให้แก่มูลนิธิร่วมกตัญญู และมอบข้าวโพดกระป๋องให้โรงพยาบาลสงฆ์

ในวันที่ 23 ธันวาคม 2567 เวลา 10.30 น. ที่มูลนิธิร่วมกตัญญู สาขาหัวลำโพง ชมรมจิตอาสาเพื่อคนพิการและผู้ด้อยโอกาส (ชพด.)  นำโดยคุณมนัสวี พยัคฆนันทน์ ประธานชมรมจิตอาสาเพื่อคนพิการและผู้ด้วยโอกาส (ชพด.) พร้อมด้วย คุณอาวีพรรณ​ แสงศิริโรจน์ ประธานฝ่ายเหรัญญิก , คุณจินตนา ชี้แจง ฝ่ายพิธีกร,พิธีการ , คุณสมชาย สง่างาม ฝ่ายประชาสัมพันธ์  ได้มอบเงินสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญูเพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ทุกท่าน ด้วยการสนับสนุนเงินจำนวน 15,000 บาท โดยมีคุณชัยยศ เศวตฉายา หัวหน้าสำนักงานวัดหัวลำโพง มูลนิธิร่วมกตัญญู เป็นตัวแทนรับมอบ

     ทั้งนี้ทางชมรมจิตรอาสาเพื่อคนพิการและด้อยโอกาส (ชพด.) ขอส่งต่อกำลังใจ และขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่ปฎิบัติงานทุกท่าน สำหรับการเสียสละเพื่อสังคม


จากนั้นเวลา 13.30 น. ทางคณะชมรมฯ ได้เดินทางไปมอบข้าวโพดกระป๋อง จำนวน 10 โหล ( 120 กระป๋อง)  ให้แก่โรงพยาบาลสงฆ์ โดยมีคุณสุธีรา บัวศรี นักโภชนาการชำนาญ โรงพยาบาลสงฆ์ เป็นตัวแทนรับมอบ


หากต้องการสนับสนุนชมรมจิตอาสาเพื่อคนพิการและผู้ด้อยโอกาส (ชพด.) สามารถติดตามข้อมูลการจัดกิจกรรมและบริจาคสมทบทุนได้ที่


คุณมนัสวี พยัคฆนันทน์ ประธานชมรมจิตอาสาเพื่อคนพิการและผู้ด้วยโอกาส (ชพด. )

บ้านพยัคฆนันทน์ 187 ซอยเพชรเกษม 69 ถนนเพชรเกษม แขวงหลักสอง เขตบางแค กรุงเทพฯ 10160

Tel : 02-4212560

Fax : 02-8087998

Mobile : 086 - 3354402

086-3354402

E-mail : manasavee_nut@hotmail.com


สทนช. เฝ้าระวังฝนตกหนักภาคใต้ช่วงหยุดยาวปีใหม่​ เร่งผลักดันโครงการผันน้ำเลี่ยงเมือง ลดความเสียหายพื้นที่ชุมชนและเศรษฐกิจ

 สทนช. เฝ้าระวังฝนตกหนักภาคใต้ช่วงหยุดยาวปีใหม่​ เร่งผลักดันโครงการผันน้ำเลี่ยงเมือง ลดความเสียหายพื้นที่ชุมชนและเศรษฐกิจ


สทนช. เฝ้าระวังสถานการณ์ฝนตกหนักในพื้นที่ภาคใต้ช่วงหยุดยาวปีใหม่ พร้อมประเมินผลการบริหารจัดการน้ำเชิงบูรณาการ เร่งผลักดันโครงการผันน้ำเลี่ยงเมือง บรรเทาผลกระทบชุมชนเมือง ลดความเสียหายด้านเศรษฐกิจ เตรียมถอดบทเรียนอุทกภัยทุกพื้นที่ ปรับปรุงความแม่นยำการชี้เป้าพื้นที่เสี่ยง เพื่อจัดทำมาตรการเข้มรับมือฤดูฝนปีถัดไป

ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยว่า ช่วงหยุดยาวเทศกาลปีใหม่นี้ในพื้นที่ภาคใต้จะยังคงมีแนวโน้มเกิดฝนตกหนักได้ในหลายพื้นที่ เนื่องจากการคาดการณ์ฝนของกรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำฯ (สสน.) พบว่า ในช่วงวันที่ 27–29 ธ.ค. 67 มีลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมทะเลอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามันจะมีกำลังแรงขึ้น ส่งผลให้ภาคใต้จะมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักมากในบางแห่งบริเวณภาคใต้ตอนกลางและตอนล่าง โดยเฉพาะบริเวณ จ.ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ตรัง พัทลุง สงขลา สตูล ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส จึงต้องเฝ้าระวังพื้นที่ที่เกิดฝนตกหนักและฝนตกหนักสะสม เนื่องจากอาจเกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากได้ ทั้งนี้ สทนช. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเฝ้าติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด เพื่อแจ้งเตือนภัยและเข้าให้การช่วยเหลือประชาชนอย่างทันท่วงที


ในปีนี้พื้นที่ภาคใต้ของประเทศได้รับอิทธิพลจากปรากฏการณ์ลานีญา ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักมากทั้งพื้นที่ตอนบนและตอนล่างของภาค ทำให้เกิดสถานการณ์น้ำล้นตลิ่งและน้ำป่าไหลหลากในหลายจังหวัด ซึ่งที่ผ่านมา นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานขับเคลื่อนมาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2567 เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ล่วงหน้า และให้ สทนช. จัดตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยภาคใต้ ที่ จ.ยะลา เพื่อทำหน้าที่วิเคราะห์และประเมินสภาพอากาศ เชื่อมโยงการดำเนินงานไปยังคณะกรรมการลุ่มน้ำในทุกลุ่มน้ำของภาคใต้ และสนับสนุนข้อมูลด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำให้กับ กนช. และศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศปช.) รวมทั้งได้ลงพื้นที่ ณ จ.ยะลาและปัตตานี เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. ที่ผ่านมา เพื่อให้กำลังใจผู้ประสบอุทกภัยและสร้างขวัญกำลังใจให้กับเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ด้วย


สำหรับในปีนี้การบริหารจัดการน้ำของเขื่อนบางลาง จ.ยะลา ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก เนื่องจากหน่วยงานและจังหวัดที่เกี่ยวข้องได้มีการประชุมหารือเพื่อปรับเกณฑ์การระบายน้ำให้เหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์จริง โดยมีการเร่งพร่องน้ำไปก่อนล่วงหน้าเพื่อเพิ่มพื้นที่รับน้ำ และเมื่อเกิดฝนตกหนักก็ให้หยุดการระบายน้ำเพื่อลดผลกระทบต่อพื้นที่ด้านท้ายน้ำ ทำให้ปีนี้ไม่มีการเปิดทางระบายน้ำล้นหรือสปิลเวย์ (Spillway) ทั้งที่มีปริมาณน้ำเข้าเขื่อนจำนวนมาก 


เลขาธิการ สทนช. กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์อุทกภัยภาคใต้ของรองนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ สทนช. บูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งทบทวนมาตรการรับมือฤดูฝนและประเมินผลการบริหารจัดการน้ำในทุกพื้นที่ที่ประสบอุทกภัย รวมถึงอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือด้วย เนื่องจากเห็นว่ายังมีหลายประเด็นที่ต้องปรับปรุง โดยเฉพาะการพัฒนาข้อมูลและความแม่นยำของระบบการแจ้งเตือนภัยที่ต้องเพิ่มความละเอียดในระดับพื้นที่ ซึ่งกรมอุตุฯ และ สสน.กำลังพัฒนาการประเมินฝนเรดาร์ด้วยเทคนิคเรดาร์คอมโพสิต (Radar Composite Techniques) เพื่อให้สามารถชี้เป้าพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมล่วงหน้าได้ถูกต้องและแม่นยำมากที่สุด รวมทั้งต้องสอดคล้องกับแนวโน้มของการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เพื่อให้สามารถกำหนดมาตรการในปีถัดไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้กำชับให้พิจารณาปรับเปลี่ยนแผนงานและงบประมาณที่จะมาดำเนินการในส่วนที่ต้องแก้ไขปัญหาอุทกภัยในระยะเร่งด่วน หากมีในส่วนที่สามารถเร่งดำเนินการได้ก็ขอให้เร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด พร้อมเร่งรัดโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการให้แล้วเสร็จตามแผน เพื่อประโยชน์ของประชาชน เช่น โครงการบรรเทาอุทกภัยอำเภอบางสะพานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.ประจวบคีรีขันธ์, โครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองนครศรีธรรมราช จ.นครศรีธรรมราช, โครงการประตูระบายน้ำแม่น้ำตรัง จ.ตรัง เป็นต้น ในส่วนของมาตรการแก้ไขปัญหาอุทกภัยทั้งระยะกลางและระยะยาวที่จะต้องเร่งดำเนินการ โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ตัวเมืองของจังหวัดต่างๆ ที่ปัจจุบันมีการขยายตัวเพิ่มมากขึ้น ทำให้รูปแบบและ

การใช้ประโยชน์ที่ดินเปลี่ยนแปลงไป กระทบต่อเส้นทางน้ำและพื้นที่รองรับน้ำ ส่งผลให้ตัวเมืองประสบปัญหาน้ำท่วมรุนแรงขึ้น ประชาชนและพื้นที่เศรษฐกิจได้รับผลกระทบในวงกว้าง ทำให้เกิดความสูญเสียและมูลค่าความเสียหายมีจำนวนมาก ทั้งนี้ สทนช. จะเร่งผลักดันการขับเคลื่อนแผนงาน/โครงการที่มีการปรับปรุงระบบป้องกันน้ำท่วม ระบบระบายน้ำเลี่ยงพื้นที่ชุมชนหรือตัวเมือง (ระบบบายพาส) ซึ่งเป็นโครงการสำคัญที่อยู่ในแผนที่จะดำเนินการในปี 68-69 ได้แก่ โครงการปรับปรุงปากแม่น้ำโก-ลก จ.นราธิวาส, โครงการระบบระบายน้ำหลักเพื่อบรรเทาปัญหาน้ำท่วมพื้นที่ชุมชนเมืองยะลา ระยะที่ 1 อ.เมืองยะลา จ.ยะลา, โครงการอ่างเก็บน้ำคลองสีสุกอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.สุราษฎร์ธานี และโครงการป้องกันน้ำท่วมภายในเขตเทศบาลเมืองปัตตานี จ.ปัตตานี เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาอุทกภัย ลดผลกระทบด้านเศรษฐกิจ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนได้อีกทางหนึ่งด้วย” เลขาธิการ สทนช. กล่าวในตอนท้าย


สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ 

28 ธันวาคม 2567

กรมการจัดหางาน แจกหนัก !! ของขวัญปีใหม่ 2568 ให้แรงงานนอกระบบ กู้เงินกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้าน ฟรี!! ดอกเบี้ย 0% นาน สูงสุด 24 เดือน เริ่มยื่นคำขอตั้งแต่บัดนี้ – 31 มี.ค. 68

 กรมการจัดหางาน แจกหนัก !!  ของขวัญปีใหม่ 2568 ให้แรงงานนอกระบบ กู้เงินกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้าน ฟรี!! ดอกเบี้ย 0% นาน สูงสุด 24 เดือน เริ่มยื่นคำขอตั้งแต่บัดนี้ – 31 มี.ค. 68

นายสมชาย มรกตศรีวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้มอบของขวัญปีใหม่ 2568 เพื่อเป็นกำลังใจแก่พี่น้องแรงงาน จำนวน 7 ชิ้น ในส่วนกรมการจัดหางานมีของขวัญมอบให้ผู้ประกอบอาชีพอิสระ โดยเตรียมวงเงินกู้ยืมไว้ จำนวน 5,000,000 บาท เพื่อให้แรงงานนอกระบบที่เป็นผู้รับงาน/กลุ่มผู้รับงาน ไปทำที่บ้าน กู้ยืมเป็นทุนหมุนเวียนสำหรับไปซื้อวัตถุดิบและอุปกรณ์ในการผลิต หรือเพิ่มกำลังการผลิตต่อยอดผลิตภัณฑ์ โดยจะลดดอกเบี้ยกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้าน จากเดิมที่มีอัตราดอกเบี้ยกู้ยืม ร้อยละ 3 ต่อปี เป็น 0% นานสูงสุด 24 งวด โดยมีเงื่อนไขกลุ่มผู้รับงานไปทำที่บ้าน ที่กู้เงินไปแล้ว ต้องไม่ผิดนัดชำระหนี้ในงวดหนึ่งงวดใดและชำระหนี้ถูกต้องครบถ้วนตามที่กำหนดในสัญญา

สำหรับคุณสมบัติของผู้กู้จะต้องเป็นผู้รับงานไปทำที่บ้านที่จดทะเบียนไว้กับกรมการจัดหางาน ซึ่งมีทั้งประเภทบุคคลและกลุ่มบุคคล โดยวงเงินกู้สำหรับบุคคลไม่เกิน 50,000 บาท ระยะเวลาชำระคืนภายใน 2 ปี กลุ่มบุคคล (5 คนขึ้นไป) มีวงเงินกู้ไม่เกิน 300,000 บาท ระยะเวลาชำระคืนภายใน 5 ปี โดยผู้ที่สนใจกู้ยืมเงินกองทุนฯ สามารถตรวจสอบคุณสมบัติและยื่นคำขอกู้เงินได้ที่สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือสำนักงานจัดหางานจังหวัดในท้องที่ที่ผู้รับงานไปทำที่บ้านได้จดทะเบียนไว้กับกรมการจัดหางาน ตั้งแต่บัดนี้ - 31 มีนาคม 2568 หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร. 1694


วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2567

กรมวิทย์ฯ บริการ กระทรวง อว. มอบของขวัญปีใหม่ประชาชน 2568 ..ฟรี !! Upskill, Reskill, Newskill ผ่านระบบออนไลน์กว่า 43 หลักสูตร!! เสริมทักษะด้าน วทน. พร้อมยกเว้นค่าธรรมเนียมยื่นขอการรับรอง ทุกขอบข่าย และสมนาคุณ QC Sample ควบคุมคุณภาพห้องปฏิบัติการ ไทยสู่สากล

 กรมวิทย์ฯ บริการ กระทรวง อว. มอบของขวัญปีใหม่ประชาชน 2568 ..ฟรี !! Upskill, Reskill, Newskill ผ่านระบบออนไลน์กว่า 43 หลักสูตร!! เสริมทักษะด้าน วทน. พร้อมยกเว้นค่าธรรมเนียมยื่นขอการรับรอง ทุกขอบข่าย และสมนาคุณ QC Sample ควบคุมคุณภาพห้องปฏิบัติการ ไทยสู่สากล

          นายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์บริการ กล่าวว่า ตามนโยบายของนางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้จัดเตรียมของขวัญปีใหม่ อว. เพื่อประชาชน ประจำปี 2568 ด้วยการเปิดให้คนไทยทุกคนได้เรียนฟรี กับหลักสูตร Upskill-Reskill-Newskill เพื่อขัดเกลาทักษะเดิม เพิ่มเติมทักษะใหม่ โดยกรมวิทย์ฯ บริการ พร้อมส่งความสุขต้อนรับปีใหม่ พ.ศ. 2568 ด้วยของขวัญสุดพิเศษแก่ผู้ประกอบการ และประชาชนทั่วไป ประกอบด้วย

       - ฟรี!! ฝึกอบรม Upskill, Reskill, Newskill รวม 43 หลักสูตร ผ่านระบบ E-learning เข้าถึงง่าย เรียนรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลา มุ่งยกระดับความรู้และทักษะด้านวิทยาศาสตร์แก่บุคลากรทุกภาคส่วน พัฒนาศักยภาพของตนเองในงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เรียนจบ รับประกาศนียบัตร (e-certificate) จากกรมวิทยาศาสตร์บริการ ผู้สนใจสามารถเข้าร่วมฝึกอบรมได้ที่ https://dss2.mylearntime.com/xlms_dss/portal/index.jsp

     - จัดเสวนาฟรี เรื่อง “การขับเคลื่อนผลิตภัณฑ์นวัตกรรม ด้วยกระบวนการกำหนดมาตรฐาน” ยกระดับการจัดทำมาตรฐานผลิตภัณฑ์ มาตรฐานชุมชน มาตรฐานวัตกรรม สู่การนำไปใช้ประโยชน์ทางการค้าในเชิงสังคมและพาณิชย์

     - ยกเว้นค่าธรรมเนียมการยื่นขอการรับรองทุกขอบข่าย ลดภาระค่าใช้จ่ายของห้องปฏิบัติการเพื่อการรับรองเพื่อการยอมรับความสามารถห้องปฏิบัติการทดสอบ (Recognized Lab) และการรับรองระบบงานห้องปฏิบัติการตามมาตรฐานสากล    

     - สมนาคุณ!! มอบวัสดุควบคุม (QC Sample) นำไปใช้ในการควบคุมคุณภาพภายในห้องปฏิบัติการ สร้างความเชื่อมมั่นของผลการทดสอบ สำหรับลูกค้าที่ร่วมกิจกรรม PT มากกว่า 6 รายการ

           นายแพทย์รุ่งเรืองฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการ/กิจกรรม ของขวัญปีใหม่ของกรมวิทย์ฯ บริการ พร้อมส่งมอบความสุขให้กับพี่น้องประชาชนและผู้ประกอบการ ตั้งแต่ช่วงเดือนธันวาคม 2567 ถึงเดือนมีนาคม 2568  ผู้สนใจรับบริการสามารถดูข้อมูลได้ที่ www.dss.go.th หรือสอบถามข้อมูลได้ที่เบอร์ 02-201 7000 


#กรมวิทยาศาสตร์บริการ #DSS #กรมวิทย์ฯบริการ #กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม #กระทรวงอว #อว #อุดมศึกษา #วิจัยและนวัตกรรม #ของขวัญปีใหม่

กรมประมง...ประกาศ ข่าวดี !! รับปีใหม่ สภาผู้แทนราษฎร “ผ่าน” ร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.ก.การประมง พ.ศ.2558 เผย...เตรียมส่งต่อให้ สว.พิจารณา

 กรมประมง...ประกาศ ข่าวดี !! รับปีใหม่ สภาผู้แทนราษฎร “ผ่าน” ร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.ก.การประมง พ.ศ.2558 เผย...เตรียมส่งต่อให้ สว.พิจารณา

          นายบัญชา  สุขแก้ว  อธิบดีกรมประมง  เปิดเผยว่า จากการผลักดันของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 

โดย ศ.ดร.นฤมล  ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนายอัครา  พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวมทั้งภาคการเมืองและภาคประชาชน ได้เร่งรัดให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการประมง พ.ศ.2558 โดยมีการเสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขพระราชกำหนดการประมง พ.ศ.2558 เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ตั้งแต่วาระที่ 1 รับหลักการ วาระที่ 2 การพิจารณาโดยการแต่งตั้งกรรมาธิการยกร่างฯ  รวมเป็นระยะเวลาประมาณ 9 เดือน  จนกระทั่งเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา สภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติในวาระที่ 3 เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการประมง พ.ศ.2558 พ.ศ....ด้วยเหตุผลสำคัญ คือ ในพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 มีบทบัญญัติบางประการที่ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อการประกอบอาชีพของพี่น้องชาวประมง ดังนั้น ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจึงได้ร่วมกันร่างพระราชบัญญัติแก้ไขพระราชกำหนดการประมง พ.ศ.2558 ขึ้นมา โดยบทบัญญัติของกฎหมายฉบับนี้มุ่งหมายเพื่อการจัดระเบียบการประมงในประเทศไทยและในน่านน้ำทั่วไป เพื่อป้องกันมิให้มีการทำการประมงโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพื่อรักษาทรัพยากรสัตว์น้ำให้อยู่ในภาวะที่เป็นแหล่งอาหารของมนุษยชาติอย่างยั่งยืน และรักษาสภาพสิ่งแวดล้อมให้ดำรงอยู่ในสภาพที่เหมาะสมตามแนวทาง กฎเกณฑ์ และมาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับนับถือในนานาประเทศ รวมทั้ง คุ้มครองสวัสดิภาพของคนประจำเรือ และป้องกันการใช้แรงงานผิดกฎหมายในภาคการประมง ตลอดจนส่งเสริมการมีส่วนร่วมและสนับสนุนชุมชนประมงท้องถิ่น โดยหลังจากนี้จะเข้าสู่ขั้นตอนการพิจารณาของวุฒิสภาต่อไป 

          กรมประมง เชื่อมั่นว่าการปรับปรุงกฎหมาย ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการประมง  พ.ศ. 2558 พ.ศ... จะสามารถช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องชาวประมงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรับปรุงบทกำหนดโทษให้สอดคล้องกับความร้ายแรงของการกระทำความผิด การให้เรือประมงพื้นบ้านมีพื้นที่ทำการประมงมากขึ้น การปรับปรุงองค์ประกอบคณะกรรมการประมงประจำจังหวัดให้มีสัดส่วนที่เหมาะสม  การกำหนดให้ผู้ขอรับใบอนุญาตทำการประมงพื้นบ้านต้องมีสัญชาติไทยเท่านั้น  การยกเลิกมาตรา 34 ที่ห้ามเรือประมงพื้นบ้านออกทำการประมงนอกเขตทะเลชายฝั่ง  การยกเลิกบทบัญญัติเกี่ยวกับการควบคุมแรงงานในโรงงานอุตสาหกรรมแปรรูปสัตว์น้ำที่ซ้ำซ้อนกับกฎหมายอื่นที่มีสภาพบังคับอยู่แล้ว เป็นต้น  อีกทั้ง ร่างพระราชบัญญัติฯ ฉบับใหม่นี้ จะช่วยส่งเสริมให้ผู้ประกอบการประมงตลอดสายการผลิต ของประเทศฟื้นตัวอย่างเหมาะสม ภายใต้พันธกรณีระหว่างประเทศและเป็นไปตามมาตรฐานสากล ควบคู่ไปกับการรักษาทรัพยากรสัตว์น้ำให้ยั่งยืนเพื่อเป็นแหล่งอาหารของโลกและการเกิดความคุ้มค่าจากการใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ รวมไปถึงการสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนด้วย และประชาชน คือ ผู้ได้รับประโยชน์สูงสุด สอดรับกับนโยบายรัฐบาลที่จะฟื้นชีวิตอุตสาหกรรมประมงให้กลับมาเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของประชาชน...อธิบดีกรมประมง กล่าว

ซินโครตรอน กระทรวง อว. ติวเข้มเสริมทักษะการประยุกต์ใช้แสงซินโครตรอน

  ซินโครตรอน กระทรวง อว. ติวเข้มเสริมทักษะการประยุกต์ใช้แสงซินโครตรอน 

สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้จัดอบรมเชิงปฏิบัติการเสริมทักษะผู้ใช้บริการแสงซินโครตรอนในการประยุกต์ใช้แสงฯ ด้วย 4 เทคนิค ได้แก่ เทคนิค micro-FTIR, เทคนิค micro-XRF imaging, เทคนิค SAXS และเทคนิค WAXS โดยผู้เข้าอบรมได้รับข้อมูลหลักการพื้นฐานทางเทคนิค การประยุกต์เทคนิคในการวิเคราะห์ทดสอบวัสดุด้านต่างๆ รวมถึงการทดลองปฏิบัติจริงที่ระบบลำเลียงแสง ทั้งการเตรียมตัวอย่าง การทำการทดลอง รวมถึงการวิเคราะห์และแปลผลข้อมูล อีกทั้งยังเป็นการสร้างเครือข่ายความร่วมมือทางด้านวิชาการและงานวิจัยระหว่างหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศ


นครราชสีมา - ดร.แพร จิรวัฒน์กุล หัวหน้าฝ่ายระบบลำเลียงแสง สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน กล่าวว่า “สถาบันฯ ได้จัดการอบรมเชิงปฏิบัติการด้านการใช้แสงซินโครตรอนด้วยเทคนิคต่างๆ ณ สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ 23-24 ธันวาคม 2567 ได้แก่ การอบรมการใช้เทคนิค micro-XRF imaging และเทคนิค micro-FTIR ซึ่งมีอาจารย์ นักวิจัยและนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ กว่า 50 คนเข้าร่วมการอบรม และการอบรมเชิงปฏิบัติการ X-ray Scattering Unveiled for Beginners ซึ่งมีนักวิจัย นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา และอาจารย์จากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเข้าร่วม 30 คน” 


สำหรับการอบรมการใช้เทคนิค micro-XRF imaging และเทคนิค micro-FTIR นั้น มีกิจกรรมการบรรยาย การเขียนร่างข้อเสนอโครงการ การเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการแสงสยาม การทดลองเตรียมตัวอย่างและวัดตัวอย่าง ณ ระบบลำเลียงแสงที่ 4.1: micro-IR spectroscopy and imaging และระบบลำเลียงแสงที่ 7.2W : micro-XRF imaging ซึ่งผู้เข้ารับการอบรมสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับงานวิจัยได้ เพื่อช่วยขยายศักยภาพและยกระดับการวัดวิเคราะห์ตัวอย่างในงานวิจัย อีกทั้งยังต่อยอดการใช้แสงซินโครตรอนเพื่อสนับสนุนงานวิจัยอื่น ๆ ต่อไปในอนาคต  

ทั้งนี้ เทคนิค micro-IR เป็นเทคนิคที่ใช้วัดองค์ประกอบทางเคมีและหมู่ฟังก์ชันของตัวอย่าง ที่มีจุดเด่นในการวัดตัวอย่างที่มีปริมาณน้อยหรือมีขนาดเล็กจนถึงระดับ 5 ไมครอน ที่สามารถสร้างภาพจำลองทางเคมีที่มีความละเอียดสูง สามารถดูการกระจายตัวขององค์ประกอบทางเคมีและหมู่ฟังก์ชันได้ และเทคนิค micro-XRF imaging เป็นเทคนิควิเคราะห์เชิงพื้นที่ที่ใช้รังสีเอกซ์ในการตรวจสอบองค์ประกอบธาตุของตัวอย่าง โดยมีความละเอียดสูงระดับไมครอน สามารถสร้างภาพการกระจายตัวของธาตุในตัวอย่างได้อย่างแม่นยำ

ส่วนการอบรมเชิงปฏิบัติการ X-ray Scattering Unveiled for Beginners เป็นการส่งเสริมการใช้ประโยชน์และเพิ่มทักษะความรู้ความเข้าใจแสงซินโครตรอนในเทคนิคการกระเจิงรังสีเอกซ์มุมแคบ (Small Angle X-ray Scattering, SAXS) และเทคนิคการกระเจิงรังสีเอกซ์มุมกว้าง (Wide-Angle X-ray Scattering, WAXS) ที่ให้ข้อมูลทางโครงสร้างของตัวอย่างที่นำมาทดสอบ ทั้งระดับนาโนเมตร และระดับอะตอม โดยเทคนิค SAXS ให้ข้อมูลโครงสร้างของตัวอย่างในระดับนาโนเมตร เช่น เส้นใยพอลิเมอร์หรือกลุ่มอนุภาคนาโน เป็นต้น และเทคนิค WAXS ให้ข้อมูลโครงสร้างระดับอะตอม โครงสร้างผลึก หรือความเป็นผลึก เช่น แป้ง เนื้อไม้ ผลึกเหลวในโลชั่น เป็นต้น


ทั้งสองการอบรมนี้เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมได้มีโอกาสได้ลงมือทำการทดลองด้วยตัวเอง และลองแปลผลข้อมูล นำประสบการณ์ที่ได้ประยุกต์ใช้กับโจทย์วิจัยที่สนใจของแต่ละคน และเขียนข้อเสนอโครงการเพื่อมาทำการทดลองต่อยอดสู่การสร้างเครือข่ายความร่วมมือในงานวิจัยที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยทางสถาบันฯ จะจัดโครงการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อเสริมทักษะผู้ใช้บริการแสงซินโครตรอนในเทคนิคด้านอื่นๆ อย่างต่อเนื่องต่อไป” ดร.แพร จิรวัฒน์กุล กล่าวปิดท้าย


เตือนภัย! มิจฉาชีพแอบอ้าง อย. หลอกเก็บเงินผู้ได้รับรางวัล อย. ควอลิตี้ อวอร์ด

  เตือนภัย! มิจฉาชีพแอบอ้าง อย. หลอกเก็บเงินผู้ได้รับรางวัล อย. ควอลิตี้ อวอร์ด อย. เตือนผู้ประกอบการที่ได้รับรางวัล อย. ควอลิตี้ อวอร์ด อย่...