วันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

ห้ามพลาดโอกาสสุดพิเศษ❗❗ สำหรับนักท่องเที่ยวที่เคยจองและใช้บริการตู้ Pop-up Workspace รับสิทธิ์ในการซื้อ Voucher รอบพิเศษ กับ กิจกรรม "100 เดียวเที่ยวได้งาน" ในวันที่ 1 มีนาคม 2568 นี้

 📢 ห้ามพลาดโอกาสสุดพิเศษ❗❗ สำหรับนักท่องเที่ยวที่เคยจองและใช้บริการตู้ Pop-up Workspace รับสิทธิ์ในการซื้อ Voucher รอบพิเศษ กับ กิจกรรม "100 เดียวเที่ยวได้งาน" ในวันที่ 1 มีนาคม 2568 นี้

พบกับ Voucher ท่องเที่ยวในราคาสุดพิเศษ เพียง 100 บาท

จากสถานประกอบการชั้นนำทั่วไทย ครอบคลุมทุกการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นโรงแรมที่พัก ร้านอาหาร บริการสุขภาพและความงาม รวมถึงกิจกรรมและแพ็กเกจท่องเที่ยว ที่จะทำให้ทุกการเดินทางของคุณน่าตื่นเต้นและคุ้มค่ากว่าเดิม 

🕙เริ่มเวลา 10.00 น. เป็นต้นไป 


🌟ซื้อ Voucher ท่องเที่ยว ผ่านเว็บไซต์: www.tourismthailand.org/workationthailand


✉ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ LINE: @workationthailand 

#WorkationThailand #PopupWorkspace #AmazingThailand #100เดียวเที่ยวได้งาน

“พิชัย” เคาะ เครื่องฟอกอากาศ - เครื่องดูดฝุ่น เป็นสินค้าควบคุม กันโก่งราคา "ไม่ให้ขาด ไม่ให้แพง"

 “พิชัย” เคาะ เครื่องฟอกอากาศ - เครื่องดูดฝุ่น เป็นสินค้าควบคุม กันโก่งราคา "ไม่ให้ขาด ไม่ให้แพง" 

พิชัย” เป็นประธานประชุมคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) เคาะเครื่องฟอกอากาศ - เครื่องดูดฝุ่น เป็นสินค้าควบคุม (เพิ่มเติม) พร้อมกำหนดมาตรการกำกับดูแลให้สินค้ามีปริมาณเพียงพอต่อความต้องการภายในประเทศ เตรียมนำเสนอ ครม. พิจารณาอนุมัติต่อไป  

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงผลการประชุมคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ครั้งที่ 1/2568 พร้อมด้วยนายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน และคณะกรรมการฯ ที่ห้องประชุมกรมการค้าภายใน ชั้น 6 ห้อง 20610 เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมาว่า ที่ประชุมมีมติให้สินค้าเครื่องฟอกอากาศและสินค้าตัวดูดฝุ่นไฟฟ้า (เครื่องดูดฝุ่น) เป็นสินค้าควบคุม เพื่อให้กรมฯ สามารถนำมาบริหารจัดการในช่วงที่เกิดปัญหาฝุ่น PM 2.5 ได้ 


โดยมีการกำหนดคุณลักษณะสินค้าเครื่องฟอกอากาศชนิดฟิลเตอร์ (HEPA Filter) และชนิดไอออน (Ionizer) ที่มีขนาดพื้นที่ใช้งานไม่เกิน 80 ตารางเมตร แบบตั้งพื้น และมีวัตถุประสงค์ใช้งานสำหรับภายในอาคารหรือที่พักอาศัย ส่วนสินค้าตัวดูดฝุ่นไฟฟ้า (เครื่องดูดฝุ่น) ชนิดมาตรฐาน แบบมีถุงหรือกล่องเก็บฝุ่นและมีสายเสียบปลั๊กไฟและชนิดด้ามจับ แบบมีสายเสียบปลั๊กไฟ และไม่มีสายเสียบปลั๊กไฟ ที่มีขนาดกำลังไฟฟ้าเข้าที่กำหนดตั้งแต่ 500 - 2,000 วัตต์ และมีวัตถุประสงค์ใช้งานสำหรับภายในอาคารหรือที่พักอาศัย

ทั้งนี้ได้มีการกำหนดมาตรการให้ผู้นำเข้า ผู้ผลิต ผู้แทนจำหน่าย แจ้งปริมาณ ราคา และรายละเอียดเกี่ยวกับสินค้าเป็นประจำทุกเดือนในวันที่ 10 ของเดือนถัดไป เพื่อกำกับดูแลสินค้าให้มีปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการใช้ภายในประเทศ และผู้บริโภคได้รับความเป็นธรรมตามเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 


สำหรับการนำสินค้าเครื่องฟอกอากาศและเครื่องดูดฝุ่นเป็นสินค้าควบคุม มีวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ดูแลสินค้าทั้ง 2 ชนิด “ไม่ให้ขาด ไม่ให้แพง” ซึ่งในภาวะที่มีฝุ่น PM 2.5 เป็นจำนวนมากเครื่องฟอกอากาศและเครื่องดูดฝุ่นถือว่ามีความจำเป็น โดยขณะนี้คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) พิจารณาเห็นชอบแล้วและเตรียมเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาต่อไป คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนมีนาคม 2568 นี้

โดยสินค้าและบริการควบคุมปัจจุบันมีทั้งหมด 57 รายการ (สินค้า 52 รายการและบริการ 5 รายการ) แยกเป็น 11 หมวด ประกอบด้วย 1.กระดาษและผลิตภัณฑ์ 2.บริภัณฑ์ขนส่ง 3.ปัจจัยทางการเกษตร 4.ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม 5.ยารักษาโรคและเวชภัณฑ์ 6.วัสดุก่อสร้าง 7.สินค้าเกษตรสำคัญ 8.สินค้าอุปโภคบริโภค 9.อาหาร 10.อื่น ๆ และ 11.บริการ โดยเครื่องฟอกอากาศและเครื่องดูดฝุ่นที่จะเพิ่มเข้ามาใหม่นั้นจะอยู่ในหมวดสินค้าอุปโภคบริโภคซึ่งจะทำให้จำนวนสินค้าและบริการควบคุมเพิ่มขึ้นเป็น 59 รายการ

อย่างไรก็ตาม ในระหว่างนี้ หากตรวจสอบพบการฉวยโอกาสจำหน่ายสินค้าแพงเกินสมควร กักตุนสินค้าและปฏิเสธการจำหน่าย จะมีโทษจำคุก 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และในส่วนของประชาชน หากไม่ได้รับความเป็นธรรมในการซื้อสินค้าและบริการสามารถร้องเรียนได้ที่สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 หรือที่สำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ จะจัดส่งเจ้าหน้าที่ออกไปตรวจสอบ และหากพบการกระทำความผิด จะดำเนินการตามกฎหมายเด็ดขาด


การลงนาม Letter of Intent ระหว่าง NEDA และ AIIB ณ เมืองเคปทาวน์ สาธารณรัฐแอฟริกาใต้

 การลงนาม Letter of Intent ระหว่าง NEDA และ AIIB ณ เมืองเคปทาวน์ สาธารณรัฐแอฟริกาใต้



เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 นายพีรเมศร์ วุฒิธรเนติรักษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) ได้ลงนามใน Letter of Intent (LOI) ร่วมกับ Mr. Rodrigo Salvado, Director General, Operational Partnership Department ผู้แทนจากธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแห่งเอเชีย (AIIB) ในห้วงการประชุม Finance in Common Summit 2025 (FiCS2025) ณ เมืองเคปทาวน์ สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ โดย LOI ฉบับดังกล่าวเป็นเอกสารแสดงกรอบและแนวทางความร่วมมือระหว่าง สพพ. และ AIIB ในด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาให้สอดคล้องกับเป้าหมายของกลุ่มประเทศอาเซียน (ASEAN) และเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainability Development Goals: SDGs) โดยมีกรอบการดำเนินงานเป็นระยะเวลา 5 ปี

ศธ. ห่วงใยเด็กติดไข้ดำแดง แนะครูติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด เพื่อความปลอดภัยผู้เรียน

 ศธ. ห่วงใยเด็กติดไข้ดำแดง แนะครูติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด เพื่อความปลอดภัยผู้เรียน

28 กุมภาพันธ์ 2568 – นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยความห่วงใยของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ ถึงสถานการณ์ "ไข้ดำแดง" ที่กำลังระบาดแพร่กระจายหลายพื้นที่ในช่วงนี้โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กนักเรียน มีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคติดต่อภายในโรงเรียนได้อย่างรวดเร็ว ฝากครูและผู้ปกครองดูแลผู้เรียนอย่างใกล้ชิดตามมาตรการความปลอดภัยในสถานศึกษา

โฆษก ศธ. กล่าวว่ากระทรวงศึกษาธิการได้ร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุขในการเฝ้าระวังสถานการณ์โรคระบาดในสถานศึกษามาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการคัดกรองสุขภาพ การให้ความสำคัญเรื่องความสะอาดและสุขอนามัย การให้ความรู้และฝึกอบรมครูผู้สอน รวมถึงการยกระดับมาตรการดปิดการเรียนการสอนเชั่วคราวหากจำเป็น และการติดตามสถานการณ์และรายงานข้อมูลอย่างต่อเนื่อง


ไข้ดำแดงที่ระบาดอยู่ในช่วงนี้ มักพบในเด็กวัยเรียน อายุ 5-15 ปี ทำให้เกิดผื่นแดงขึ้นตามตัว สามารถติดต่อผ่านการไอหรือจาม การใช้ของร่วมกัน การเล่นหรือสัมผัสกัน หากพบเด็กมีไข้สูงเฉียบพลัน เจ็บคอ มีผื่นแดงสากคล้ายกระดาษทรายกระจายตามตัว ลิ้นแดงเป็นปุ่มคล้ายสตรอเบอร์รี่ ขอให้ครูและผู้ปกครองคอยสังเกตอาการของผู้เรียนอย่างใกล้ชิด เพราะผื่นแดงมักไม่ขึ้นที่ใบหน้า แต่แก้มจะแดงและมีวงซีดรอบปาก ถ้าไม่รักษาอาจเกิดอาการแทรกซ้อนอื่นทำให้ป่วยหนักได้


หากพบเด็กมีอาการสุ่มเสี่ยงควรแยกตัวเด็กป่วยออกจากคนอื่นหรือให้หยุดเรียนจนกว่าอาการจะปกติเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อให้เพื่อน และหากสถานการณ์รุนแรงขึ้นหรือมีคำสั่งจากสาธารณสุขจังหวัดให้ปิดเรียนในพื้นที่ที่มีการระบาดรุนแรง สามารถพิจารณาหยุดการเรียนการสอนได้ตามความเหมาะสม โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของนักเรียนครูและบุคลากรเป็นหลัก


ขอความร่วมมือทุกสถานศึกษาปฏิบัติตามมาตรการความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันโรคแพร่ระบาดที่กระทบต่อสุขภาพของผู้เรียน โดยเฉพาะการดูแลเรื่องสุขอนามัยในโรงเรียน เพื่อป้องกันการเกิดโรคระบาดครั้งนี้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะนี้เป็นช่วงใกล้ปิดเทอมผู้เรียนจะได้พักผ่อนยาวอย่างสบายใจไม่มีโรคภัยตามไปถึงบ้าน โรงเรียนต้องปลอดภัยสอดคล้องนโยบาย "เรียนดี มีความมสุข"


"โรคระบาดมีทั้งใหม่และเก่า เราห้ามการแพร่เชื้อไม่ได้แต่เราสามารถป้องกันได้ การปฏิบัติตามมาตรการความปลอดภัยจะช่วยลดการแพร่กระจายของโรคในสถานศึกษา สร้างความมั่นใจให้ผู้ปกครองมากขึ้น และขอขอบคุณครูที่ดูแลผู้เรียนของเราได้อย่างดีที่สุด" โฆษก ศธ. กล่าว



"พม.-TEI เตรียมพร้อมรับและปรับตัวกลุ่มเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ“

 "พม.-TEI เตรียมพร้อมรับและปรับตัวกลุ่มเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ“



วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 –กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ร่วมกับ สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการระดับชาติ ขับเคลื่อนนโยบายการรับมือและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อความมั่นคงของมนุษย์ ณ โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพ เพื่อสร้างความพร้อมและเพิ่มความสามารถในการปรับของประชาชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางและผู้ที่อาศัยในพื้นที่เสี่ยงภัยต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ


นายวราวุธ  ศิลปอาชา  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “การรับมือและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อความมั่นคงของมนุษย์” โดยย้ำว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป  เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่เห็นทุกภาคส่วนได้เข้ามาช่วยกันกำหนดทิศทางที่เราต้องทำร่วมกัน  พร้อมมอบนโยบายที่มุ่งเน้นการเพิ่มขีดความสามารถในการตอบสนองและการรับมือ เพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของคนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง รวมถึงการเร่งขับเคลื่อนภารกิจอื่นของ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่มีเป้าหมายช่วยเหลือและเยียวยาคนกลุ่มเปราะบาง ให้สามารถเข้าถึงการคุ้มครองทางสังคมได้ นอกจากนี้การดำเนินการครั้งนี้ก็สนับสนุนการดำเนินการตาม MOU 7 กระทรวง เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภายใต้แผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล

ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย กล่าวสรุปข้อคิดเห็นจากผู้เข้าร่วมประชุม ว่า       ร่างนโยบายและกรอบการดำเนินการการคุ้มครองทางสังคมในการรับมือและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่สถาบันสิ่งแวดล้อมไทยได้รับมอบจากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ให้ทำการศึกษาและพัฒนาในครั้งนี้ได้ถอดบทเรียนจากต่างประเทศและการรับฟังความเห็นจากทุกภาคส่วน ได้กรอบนโยบายหลัก 4 ประเด็น ได้แก่ (1) การสนับสนุนแผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ สาขาการตั้งถิ่นฐานและความมั่นคงของมนุษย์ (2) การยกระดับกลไกภายในกระทรวง พม. ให้สามารถดำเนินการคุ้มครองทางสังคมแก่กลุ่มเปราะบางได้อย่างมีประสิทธิภาพ  (3) การพัฒนาฐานข้อมูลและระบบสารสนเทศของกลุ่มเปราะบาง และ (4) การบูรณาการการทำงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้กลุ่มเปราะบางสามารถปรับตัวได้อย่างเหมาะสม นโยบายเหล่านี้ล้วนมีความสำคัญ เชื่อมโยงและสนับสนุนกัน และเห็นว่าจะเป็นประโยชน์มาก นโยบายเหล่านี้ ได้นำไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลต่อไป

ขณะที่นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวว่า สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ทำให้เกิดผลกระทบหลากหลาย การสูญเสียรายได้และทรัพย์สินของมนุษย์ โดยประชากรกลุ่มเปราะบาง มักจะได้รับผลกระทบมากกว่าคนกลุ่มอื่น อีกทั้งยังมีความสามารถในการปรับตัวจำกัด จึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์โดยตรง ในการสนับสนุนให้ประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางสามารถ มีการเตรียมความพร้อม รับมือ และปรับตัว เพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ  จึงเน้นให้ทุกภาคส่วนร่วมออกแบบนโยบายการคุ้มครองทางสังคมที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และกรอบการดำเนินงานร่วมกัน การขับดำเนินการดังกล่าวจะเกิดผลได้ โดยได้รับความร่วมมือกับทุกหน่วยงานและทุกภาคส่วน









ทั้งนี้ ผลจากการประชุมเชิงปฏิบัติการระดับชาติ นโยบายการรับมือและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อความมั่นคงของมนุษย์ ในครั้งนี้ จะได้นำเสนอหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและรัฐบาล เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนให้เป็นรูปธรรมต่อไป


###



บอร์ดปฐมวัยรุดประเมินแผน-มาตรฐานสถานพัฒนาเด็กเล็ก

  บอร์ดปฐมวัยรุดประเมินแผน-มาตรฐานสถานพัฒนาเด็กเล็ก

วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวัย ครั้งที่ 1/2568 โดยมี คณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวัย และ รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการสภาการศึกษา ร่วมประชุมรูปแบบผสมผสานออนไลน์และออนกราวด์ ณ ห้องกำแหง พลางกูร สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา



ที่ประชุมยืนยันยื่นข้อเสนอเชิงนโยบาย “3 เร่ง 3 ลด 3 เพิ่ม เพื่อส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยในภาวะวิกฤติ ต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาเป็นวาระแห่งชาติ พร้อมทั้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาดำเนินการประเมิน 2 เรื่อง ได้แก่ 1. แผนพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ. 2564-2570 จากการดำเนินงานที่ผ่านมามีหน่วยงานในระดับพื้นที่บางแห่งยังไม่ทราบว่ามีแผนพัฒนาเด็กปฐมวัย และบางหน่วยยังไม่รับการจัดสรรงบประมาณ บางหน่วยขาดกลไกเชื่อมโยงในการดำเนินงาน ด้วยข้อจำกัดต่าง ๆ  2. มาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ จากการขับเคลื่อนการดำเนินงานที่ผ่านมายังไม่สามารถทำได้ทุกสังกัด เนื่องจากการประกาศใช้มาตรฐานตามกฎกระทรวงเดิมของตนเอง ทำให้ไม่สามารถขับเคลื่อนมาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติซึ่งเป็นมาตรฐานกลางได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยังมีการซ้ำซ้อนในการรายงานการประเมินตนเองในระบบฐานข้อมูลสารสนเทศการพัฒนาเด็กปฐมวัยตามมาตรฐานชาติ 

เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการดำเนินงานที่ประชุมมอบให้ สกศ. จัดตั้งคณะทำงาน 2 คณะ คือ คณะทำงานจัดทำแผนพัฒนาเด็กปฐมวัย 2571-2575 และคณะทำงานจัดทำมาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ (ฉบับปรับปรุง) โดยให้นำข้อเสนอของที่ประชุม 3 เรื่องไปใช้เป็นข้อมูลในการดำเนินงาน คือ 1) การดูแล พัฒนา และจัดการศึกษาให้กับเด็กปฐมวัย อายุต่ำกว่า 2 ปีในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้เป็นไปตามมาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ 2) การสอนเรื่องความปลอดภัยให้แก่เด็กปฐมวัยและเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ ควรบรรจุหลักสูตรการเรียนการสอนการดูแลความปลอดภัยของตัวเอง เป็นผลลัพธ์การเรียนรู้ในหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย และ 3) การค้นหาเด็กกลุ่มเสี่ยงในระดับปฐมวัย ก่อนที่เด็กจะมีความต้องการจำเป็นพิเศษ ให้มีระบบคัดกรองที่เข้มข้นก่อนขึ้นสู่ชั้นประถมศึกษา และครูปฐมวัยมีความรู้เรื่องการคัดกรองและการช่วยเหลือเด็กกลุ่มเสี่ยงในระดับปฐมวัย 



นอกจากนี้ การประเมินการบังคับใช้กฎหมายการศึกษาและกฎหมายที่เกี่ยวข้องเป็นภารกิจที่สำคัญของสกศ. ประกอบกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และพ.ร.บ.หลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 ได้กำหนดให้สกศ. ในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบพ.ร.บ.การพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ. 2562 ซึ่งครบรอบระยะเวลาตามที่กฎหมายกำหนดต้องดำเนินการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายโดยดำเนินการผ่านระบบกลางทางกฎหมายร่วมกับการจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นต่อไป

โฮมโปร ผนึกกำลัง ซัมซุง เปิดตัวเครื่องใช้ไฟฟ้ารักษ์โลก.ยกระดับ Circular Economy ด้วยนวัตกรรมล้ำสมัยและใส่ใจสิ่งแวดล้อม

 โฮมโปร ผนึกกำลัง ซัมซุง เปิดตัวเครื่องใช้ไฟฟ้ารักษ์โลก.ยกระดับ Circular Economy ด้วยนวัตกรรมล้ำสมัยและใส่ใจสิ่งแวดล้อม

โฮมโปร (HomePro) ผู้นำธุรกิจค้าปลีกเรื่องบ้าน จับมือ ซัมซุง ผู้นำด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมระดับโลก เดินหน้าส่งเสริมความยั่งยืน ผ่านโครงการ “HomePro Circular Products x Samsung” ซึ่งเป็นอีกก้าวสำคัญของการสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกเพื่อสิ่งแวดล้อมด้วยการผสานเทคโนโลยีล้ำสมัยเข้ากับแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เพื่อการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและลดผลกระทบต่อโลกในระยะยาว

นางสาวสมใจ มธุรพร  ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กลุ่มจัดซื้อสินค้า Home Electric บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ โฮมโปร กล่าวว่า โฮมโปรให้ความสำคัญกับการผนึกกำลังพันธมิตรที่มีวิสัยทัศน์เดียวกัน ในการผลักดันโครงการที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ Waste of Electrical and Electronic Equipment (WEEE) ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญของผู้บริโภค เราในฐานะผู้นำธุรกิจค้าปลีกเรื่องบ้านที่มีความใกล้ชิดกับผู้บริโภค ได้ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว ที่ลูกค้าต้องการเปลี่ยนเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นใหม่ แต่ไม่รู้ว่าจะจัดการกับเครื่องใช้ไฟฟ้าเก่าอย่างไรรวมถึงค่าใช้จ่ายในการขนย้ายและรื้อถอนประกอบกับเล็งเห็นถึงมูลค่าของขยะกลุ่มดังกล่าว ซึ่งเป็นที่มาของการจัดทำโครงการ “แลกเก่าเพื่อโลกใหม่” ขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้โดยเฉพาะโดยใช้ช่องทางสโตร์โฮมโปรและเมกาโฮมที่มีอยู่กว่า 100 สาขาทั่วประเทศ รับเครื่องใช้ไฟฟ้าเก่าจากบ้านลูกค้าไปจัดการอย่างถูกวิธีและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีพันธมิตรที่มีใบรับรองถอดแยกซากเครื่องใช้ไฟฟ้าตามกฎหมาย ก่อนนำเข้าสู่กระบวนการที่โรงหลอมที่ได้คุณภาพระดับสากล เพื่อผลิตเป็นสินค้าใหม่ หรือที่เรียกว่า สินค้ารักษ์โลก (Circular Products) และนำไปใช้ประโยชน์อย่างสูงสุด โครงการฯ นี้ ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถจัดการเครื่องใช้ไฟฟ้าเก่าได้สะดวกสบายมากขึ้น พร้อมได้รับสินค้าใหม่คุณภาพดีไปใช้งาน อีกทั้งยังเป็นการสร้างการมีส่วนร่วมระหว่าง “ลูกค้า-พันธมิตร” ให้ตระหนักและมีส่วนในการดูแลสิ่งแวดล้อม และเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับแบรนด์ที่เข้าร่วมโครงการ โดยใน พ.ศ. 2573 โฮมโปรตั้งเป้าหมายจำหน่ายสินค้ารักษ์โลก มีสัดส่วน 20% จากยอดขายสินค้าทั้งหมด เพื่อตอกย้ำความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนธุรกิจอย่างยั่งยืน”

โครงการ “แลกเก่าเพื่อโลกใหม่” เราจะทำการคัดแยกชิ้นส่วน พลาสติกที่ถอดแยกจากเครื่องใช้ไฟฟ้าเรียบร้อย ชิ้นส่วนจะถูกนำไปรีไซเคิลตามมาตรฐานระดับสากล เพื่อให้ได้เม็ดพลาสติก PCR รีไซเคิลที่มีคุณภาพตามที่ทางผู้ผลิตต้องการ ก่อนส่งต่อให้ ซัมซุง ซึ่งเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมระดับโลก นำไปผลิตเป็น ตู้เย็น รุ่น RT53DG7A14B1ST  และ เครื่องซักผ้ารุ่น WA21CG6886BVHP ทำให้ได้สินค้ารักษ์โลกที่มีพลาสติก PCR รีไซเคิลเป็นส่วนผสม ถือเป็นการผนึกกำลังครั้งสำคัญของสองแบรนด์ชั้นนำแห่งประเทศไทย เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน และขับเคลื่อนความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม โดยภายในปีนี้ ตั้งเป้าผลิตตู้เย็น จำนวน 4,000 เครื่อง และเครื่องซักผ้า จำนวน 6,000 เครื่อง  

นายเริงบุญ คล่องคำนวนการ ผู้อำนวยการธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด กล่าวว่า “เราเชื่อมั่นในความสำคัญของการสร้างอนาคตที่ยั่งยืน ผ่านนวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพระดับโลก โดยความร่วมมือกับโฮมโปร (HomePro) ในครั้งนี้เป็นการตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีของเราที่พร้อมตอบโจทย์ทั้งความต้องการของผู้บริโภคที่หันมาให้ความสนใจกับเรื่องความยั่งยืนมากขึ้น

ภายใต้โครงการ “HomePro Circular Products x Samsung” นำเสนอผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ตอบโจทย์ความยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยผลิตภัณฑ์ไฮไลท์ในโครงการนี้ ได้แก่ ตู้เย็นรุ่น RT53 (ตู้เย็น 2 ประตูขนาดใหญ่) ผลิตจากพลาสติก PCR (Post-Consumer Recycled) จากเครื่องใช้ไฟฟ้าเก่าที่โฮมโปรได้รับมาจากโครงการ “แลกเก่าเพื่อโลกใหม่” ตามแนวคิด เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) โดยสินค้ามาพร้อมเทคโนโลยี AI Energy Mode ช่วยประหยัดพลังงาน และ Twin Cooling System ที่แยกการทำงานระหว่างช่องแช่เย็นและช่องแช่แข็งเพื่อรักษาความสดใหม่ของอาหาร และเครื่องซักผ้ารุ่น WA21 (เครื่องซักผ้าฝาบน) ที่มาพร้อม EcoBubble Technology ช่วยซักผ้าได้อย่างสะอาด ประหยัดพลังงาน และระบบ Hygiene Steam ซึ่งสามารถลดเชื้อแบคทีเรียได้ถึง 99.9%  โดยผลิตภัณฑ์ทั้งสองนี้ยังเน้นการใช้วัสดุรีไซเคิล PCR (Post-Consumer Recycled) ในกระบวนการผลิตเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ยังมีการติดป้ายประชาสัมพันธ์บนผลิตภัณฑ์  เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคในการรักษาสิ่งแวดล้อมอีกด้วย


ความร่วมมือของโครงการนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของซัมซุงและโฮมโปร (HomePro)ในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและช่วยลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน โดยสามารถช้อปสินค้ารักษ์โลกสุดเอ็กซ์คลูซีฟ 2 รุ่นนี้ ได้ที่โฮมโปร (HomePro) เมกาโฮม (Mega Home) ทุกสาขา และออนไลน์ เพื่อสัมผัสเทคโนโลยีที่ทันสมัยและร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างโลกที่ยั่งยืนไปด้วยกัน


#สินค้ารักษ์โลก #CircularProducts #CircularEconomy #โฮมโปร #HomePro #BetterLiving #เมกาโฮม #MegaHome #Homepropr #ซัมซุง #Samsung #ตู้เย็นรักษ์โลก #เครื่องซักผ้ารักษ์โลก

วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

สายสีแดง ผนึก ธพส. เปิดทดลองให้บริการ EV Bus เชื่อมการเดินทาง ศูนย์ราชการฯ กับ สถานีหลักสี่ เริ่ม 3 มีนาคมนี้

 สายสีแดง ผนึก ธพส. เปิดทดลองให้บริการ EV Bus เชื่อมการเดินทาง ศูนย์ราชการฯ กับ สถานีหลักสี่ เริ่ม 3 มีนาคมนี้

รถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ร่วมกับ บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (ธพส.) เตรียมเปิดทดลองให้บริการ EV Bus เชื่อมต่อการเดินทางจากศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ไปยังสถานีรถไฟฟ้าสายสีแดง(สถานีหลักสี่) เพิ่มความสะดวกในการเดินทาง เริ่ม 3 มีนาคม 2568 นี้


นายสุเทพ พันธุ์เพ็ง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด หรือผู้ให้บริการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง เปิดเผยว่า ด้วยอัตราการเติบโตของปริมาณผู้โดยสารรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการดำเนินนโยบายอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด 20 บาทตลอด ในปีแรก เมื่อเดือนตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา จนถึงปี 2568 นั้น บริษัทฯ จึงวางแผนร่วมกับ บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (ธพส.) เพื่อพัฒนาการเดินทางด้วยระบบขนส่งรอง หรือ Feeder ในการช่วยเพิ่มความสะดวกสบายด้านการเดินทางของประชาชน พร้อมทั้งส่งเสริมการใช้ระบบขนส่งมวลชนแทนการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล ซึ่งจะช่วยลดปัญหาจราจรติดขัดและอุบัติเหตุบนท้องถนนและส่งเสริมการใช้ระบบขนส่งมวลชนเพื่อความยั่งยืน อีกทั้งยังช่วยลดมลพิษจากการเดินทางด้วย ดังนั้นจึงเกิดเป็นโครงการในการใช้รถขนส่งสาธารณะที่ใช้พลังงานจากแหล่งพลังงานไฟฟ้า หรือ EV Bus (Electric Bus) ในการขับเคลื่อนที่มีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยเตรียมทดลองให้บริการเชื่อมต่อระหว่างศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ และสถานีรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง(สถานีหลักสี่) ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 3 มีนาคม 2568 นี้ โดยมีระยะทางประมาณ 4.5 กิโลเมตร พร้อมกับจุดรับ-ส่งจำนวน 4 จุด ได้แก่ 1. สถานีอาคาร B ประตู 2 (ฝั่งทิศใต้) 2. สถานีด้านหน้าอาคารสนับสนุน (อาคารพดด้วง) 3. สถานีปากซอยแจ้งวัฒนะ 5 และ 4. สถานีฝั่งตรงข้ามอาคารสนับสนุน (อาคารพดด้วง), โดยการให้บริการในช่วงทดลอง จะเป็นการเปิดให้บริการฟรี โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายตลอดช่วงระยะเวลาการทดลอง ตั้งแต่เวลา 06.00 - 19.00 น. ในวันจันทร์-ศุกร์ โดยจะสิ้นสุดการทดลองให้บริการในวันที่ 31 สิงหาคม 2568 รวมระยะเวลาในการทดลองให้บริการทั้งสิ้น 6 เดือน


ทั้งนี้ EV Bus จะช่วยให้การเดินทางในเส้นทางที่เชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงนั้น เป็นไปได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และลดความยุ่งยากในการเดินทาง อีกทั้งการใช้ EV Bus ยังช่วยลดมลพิษจากการเดินทาง เป็นยานพาหนะที่ปลอดภัยและไม่ปล่อยควันพิษออกสู่สิ่งแวดล้อม โครงการนี้ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการพัฒนาโครงข่ายการขนส่งมวลชน ในเขตระหว่างพื้นที่กรุงเทพมหานครกับชานเมืองให้มีประสิทธิภาพและสามารถเข้าถึงประชาชนได้ง่ายขึ้น จึงขอเชิญชวนทุกท่านร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการลดการใช้ยานพาหนะส่วนบุคคล และช่วยลดปัญหาจราจรติดขัดในพื้นที่ที่มีความหนาแน่น รวมถึงส่งเสริมการใช้ระบบขนส่งสาธารณะที่มีความยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม


บริษัทฯ จะดำเนินกิจการเคียงข้างประชาชน และจะมุ่งมั่นพัฒนาองค์กรสู่การเป็นผู้นำในการให้บริการรถไฟฟ้าด้วยมาตรฐานระดับสากล สร้างความพึงพอใจสูงสุดแก่ผู้ใช้บริการ รักษามาตรฐานการปฏิบัติงานในด้านการเดินรถ และซ่อมบำรุง รวมทั้งรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจขององค์กร ตลอดจนยกระดับคุณภาพชีวิตชานเมืองอย่างยั่งยืนต่อไป


โดยท่านสามารถติดตามรายละเอียดได้ทาง โซเชียลมิเดียทุกแพลตฟอร์ม Facebook Fan Page, Twitter , Instagram, Youtube, Tiktok พิมพ์ชื่อ “RED Line SRTET” หรือส่วนบริการลูกค้า 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง และ www.srtet.co.th


“มากกว่าการเดินทางคือ ...ความพิเศษ”


รถไฟฟ้าสายสีแดง ยกระดับคุณภาพชีวิตชานเมือง

บอร์ดสภาการศึกษา เร่งเดินหน้าขับเคลื่อนการศึกษาไทยเสริมมาตรฐาน สร้างคุณภาพระดับสากล

 บอร์ดสภาการศึกษา เร่งเดินหน้าขับเคลื่อนการศึกษาไทยเสริมมาตรฐาน สร้างคุณภาพระดับสากล

วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมสภาการศึกษา ครั้งที่ 1/2568 โดยมี คณะกรรมการสภาการศึกษา และ รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการสภาการศึกษา ร่วมประชุมรูปแบบผสมผสานออนไลน์และออนกราวด์ ณ ห้องกำแหง พลางกูร สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา





ที่ประชุมพิจารณาเรื่องสำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการและเสนอต่อคณะรัฐมนตรี ดังนี้

1. (ร่าง) มาตรฐานการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้ ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อเป็นมาตรฐานกลางสำหรับเทียบเคียงในการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลให้มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และมีจริยธรรม จำนวน 4 มาตรฐาน ได้แก่ มาตรฐานที่ 1 การเข้าถึงและความเสมอภาคทางเทคโนโลยีดิจิทัล มาตรฐานที่ 2 การออกแบบการเรียนรู้และนำตนเองเชิงสร้างสรรค์ มาตรฐานที่ 3 การวัดและประเมินผลเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ มาตรฐานที่ 4 การสนับสนุนผู้เรียน ผู้สอน ผู้บริหารสถานศึกษาและบุคลากรทางการศึกษา 

2. ข้อเสนอการติดตามและประเมินผลการยกระดับความสามารถทางการแข่งขันทางการศึกษาของไทยในเวทีโลก เพื่อได้ข้อมูลพื้นฐานในการกำหนดนโยบายและแผนพัฒนาการศึกษาไทยให้มีคุณภาพและได้มาตรฐานระดับสากล วิเคราะห์เป็น 5 มิติ ได้แก่ 1) ด้านคุณภาพการศึกษา การยกระดับการสอนตามแนวทาง PISA พัฒนาแพลตฟอร์มข้อสอบออนไลน์ บูรณาการเทคโนโลยีและ AI ในการเรียนการสอน ปรับปรุงหลักสูตรให้เชื่อมโยงกับโลกอาชีพและเทคโนโลยีสมัยใหม่ 2) ด้านความเสมอภาคทางการศึกษา โดยขยายโครงการเรียนฟรีและทุนการศึกษาให้ครอบคลุมกลุ่มเปราะบาง ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านการศึกษาของโรงเรียนในพื้นที่ชนบท ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต 3) ด้านการเข้าถึงการศึกษา ส่งเสริมระบบ Tracking System และการศึกษาแบบยืดหยุ่น 4) ด้านประสิทธิภาพการจัดการศึกษา ปรับปรุงการจัดสรรงบประมาณด้านการศึกษา ลดภาระงานเอกสารของครู และนำระบบดิจิทัลมาใช้ในการบริหารจัดการการศึกษา และ 5) ด้านการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง บูรณาการหลักสูตรให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม ปรับปรุงการฝึกงานและการเชื่อมโยงกับสถานประกอบการ และส่งเสริมทักษะอนาคต 

3. แนวทางอุดหนุนค่าใช้จ่ายสำหรับการศึกษาขั้นพื้นฐานในศูนย์การเรียนที่จัดโดยบุคคล องค์กรชุมชน องค์กรเอกชน และองค์กรวิชาชีพ ตามมาตรา 12 แห่ง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ให้ครอบคลุม คือ 1) ระยะแรกให้กระทรวงศึกษาธิการอุดหนุนค่าใช้จ่ายพื้นฐานตามจำนวนผู้เรียนรายหัว แก่ศูนย์การเรียนที่ประสงค์จะขอรับเงินอุดหนุน โดยไม่เก็บค่าธรรมเนียม/เงินบำรุงการศึกษาจากผู้เรียน 2) จัดสรรเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายพื้นฐานในอัตราเดียวกับที่รัฐจัดสรรให้สถานศึกษาเอกชนการกุศล (ไม่รวมเงินเดือนและเงินสมทบ) ครอบคลุมค่าใช้จ่าย 5 รายการ และ 3) ให้ ศธ. ติดตามประเมินผลเพื่อให้ได้ข้อมูลที่จะเป็นประโยชน์ต่อการคำนวณค่าใช้จ่ายในการจัดการศึกษา การกำหนดอัตราเงินอุดหนุน และแนวทางสนับสนุนที่เหมาะสมต่อไป 


เตือนภัย! มิจฉาชีพแอบอ้าง อย. หลอกเก็บเงินผู้ได้รับรางวัล อย. ควอลิตี้ อวอร์ด

  เตือนภัย! มิจฉาชีพแอบอ้าง อย. หลอกเก็บเงินผู้ได้รับรางวัล อย. ควอลิตี้ อวอร์ด อย. เตือนผู้ประกอบการที่ได้รับรางวัล อย. ควอลิตี้ อวอร์ด อย่...