วันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2568

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สั่งการดูแลนักท่องเที่ยวกรณีเรือสปีดโบ๊ทไฟไหม้ที่เกาะไม้ท่อน จังหวัดภูเก็ต

 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สั่งการดูแลนักท่องเที่ยวกรณีเรือสปีดโบ๊ทไฟไหม้ที่เกาะไม้ท่อน จังหวัดภูเก็ต

วันนี้ (1 เมษายน 2568) นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ได้รับรายงานกรณีเกิดเหตุไฟไหม้เรือสปีดโบ๊ทที่บริเวณหน้าหาดเกาะไม้ท่อน จังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นเรือพานักท่องเที่ยวชาวรัสเซีย จำนวน 34 ราย เดินทางจากท่าเรือฉลองเพื่อไปท่องเที่ยวเกาะพีพี โดยเกิดเหตุขัดข้องระหว่างทางและต่อมาเกิดไฟลุกไหม้ขึ้นในระหว่างที่ลูกเรือพยายามซ่อมแซมเรือ


จากเหตุการณ์ดังกล่าว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้สั่งการให้กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เร่งให้ความช่วยเหลือดูแลนักท่องเที่ยวอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะในด้านความปลอดภัย การอำนวยความสะดวกในการเดินทางกลับ รวมถึงให้การช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างใกล้ชิด


ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวทั้งหมดปลอดภัย ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส ส่วนคนประจำเรือและมัคคุเทศก์มีบาดแผลจากไฟไหม้และเปลือกหอยบาดเล็กน้อย ซึ่งได้รับการดูแลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


นายสรวงศ์ ยังเน้นย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมตรวจสอบหาสาเหตุของเหตุการณ์ครั้งนี้อย่างละเอียด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุลักษณะนี้ขึ้นอีกในอนาคต พร้อมทั้งยืนยันว่า กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาให้ความสำคัญสูงสุดกับความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวทุกคนที่เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย

นายกรัฐมนตรี ย้ำความสำคัญของข้อมูลสำมะโนประชากร การวางแผนพัฒนาประเทศจำเป็นต้องมีข้อมูลที่ดี ถูกต้อง และเป็นปัจจุบัน

 นายกรัฐมนตรี ย้ำความสำคัญของข้อมูลสำมะโนประชากร การวางแผนพัฒนาประเทศจำเป็นต้องมีข้อมูลที่ดี ถูกต้อง และเป็นปัจจุบัน

วันนี้ (1 เมษายน) ณ ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี เยี่ยมชมนิทรรศการ โครงการสำมะโนประชากรและเคหะ พ.ศ.2568 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ โดยมี นายภุชพงค์ โนดไธสง ผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ ให้การต้อนรับและอธิบายกระบวนการเก็บข้อมูล 

โครงการสำมะโนประชากรและเคหะครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลประชากรและเคหะตามที่อยู่จริง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการกำหนดนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ โดยนายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของข้อมูลสถิติในการบริหารประเทศ และเชิญชวนประชาชนให้ข้อมูลด้วยตนเอง ผ่าน 3 ช่องทาง หรือให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในการให้ข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วน

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า "ข้อมูลจากสำมะโนประชากรและเคหะ เป็นรากฐานสำคัญในการวางแผนนโยบายและพัฒนาประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ ข้อมูลสำมะโนประชากรจะช่วยให้รัฐบาลมีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับจำนวนประชากร การกระจายตัวของประชากร โครงสร้างอายุ ระดับการศึกษา การทำงาน และสภาพความเป็นอยู่ของประชาชน ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานในการออกแบบนโยบายที่ตรงกับความต้องการของประชาชนแต่ละกลุ่ม และการที่ภาครัฐมีข้อมูลที่ถูกต้องและทันสมัยยังช่วยให้รัฐบาลสามารถบริหารทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ กำหนดนโยบายและตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ วางแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สวัสดิการสังคม การศึกษา สาธารณสุข และเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับแนวโน้มประชากร อีกทั้งยังสามารถใช้ในการติดตามและประเมินผลการดำเนินนโยบายเพื่อนำไปสู่การปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นในอนาคต ดิฉันขอเชิญชวนประชาชนทุกคนให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วน เพื่อให้การดำเนินการครั้งนี้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี"

ทั้งนี้ โครงการสำมะโนประชากรและเคหะ พ.ศ. 2568 เป็นการเก็บข้อมูลประชากรครั้งสำคัญที่สุดของประเทศ ปกติแล้วจะดำเนินการทุก ๆ 10 ปี โดยเก็บรวบรวมข้อมูลประชากรและที่อยู่อาศัยของทุกคนในประเทศตามที่อยู่จริง เก็บเพียงข้อมูลพื้นฐาน เช่น เพศ อายุ สัญชาติ การศึกษา การทำงาน และข้อมูลที่อยู่อาศัย  ครั้งนี้ สำนักงานสถิติแห่งชาติ ได้ตอบรับนโยบายรัฐบาลและกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดเก็บข้อมูลจากวิธีดั้งเดิมสู่การใช้ดิจิทัล ที่เรียกว่า "Digital Census" เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในการให้ข้อมูล ขอให้เชื่อมั่นว่าข้อมูลของทุกท่านจะถูกเก็บรักษาอย่างปลอดภัย และข้อมูลจะถูกนำไปใช้เพื่อการวางแผนการพัฒนาประเทศต่อไป

ประชาชนทุกคนสามารถให้ข้อมูลของตนเองได้ทางออนไลน์ตั้งแต่วันที่ 1 - 20 เมษายน 2568 ที่แอปพลิเคชัน หรือเว็บไซต์ทางรัฐ หรือเว็บไซต์สำนักงานสถิติแห่งชาติ www.nso.go.th และตั้งแต่ 21 เมษายน - 19 มิถุนายนนี้ สำนักงานสถิติแห่งชาติจะส่งเจ้าหน้าที่ในนาม 'คุณมาดี' ลงพื้นที่เก็บข้อมูลทั่วประเทศเพื่อเก็บข้อมูลของท่านที่ไม่สะดวกตอบแบบสอบถามออนไลน์  มั่นใจได้ว่าคุณมาดีตัวจริงต้องมีบัตรประจำตัวที่ออกโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ สามารถขอตรวจสอบได้ และจะไม่มีการถามเลขบัตรประชาชน ไม่ถามเลขบัญชีธนาคาร ไม่ถามเงินเดือนหรือรายได้ ไม่มีการเก็บลายนิ้วมือ ไม่มีการเรียกเก็บเงิน และไม่มีการให้คลิกลิงก์ลงทะเบียนใด ๆ หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติมหรือพบบุคคลที่น่าสงสัยสอบถามข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้อง ท่านสามารถโทรสอบถามข้อมูลก่อนได้ที่เบอร์ 0 2142 1234


ข้อมูลของท่านจะถูกเก็บรักษาอย่างปลอดภัย และนำไปใช้เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติ 'เพราะทุกคนสำคัญ' ทุกข้อมูลมีความหมาย ร่วมสร้างอนาคตไทยให้ดีขึ้น Everyone Counts, Everyone Matters.


สอบถามรายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติม สำนักงานสถิติแห่งชาติ โทรศัพท์ 0 2142 1234 และทุกแพลตฟอร์มออนไลน์ พิมพ์ NSOOFTHAILAND

DMT รับมอบกระดาษและใบเสร็จรับเงินจาก ตัวแทนนักศึกษามหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช

 DMT  รับมอบกระดาษและใบเสร็จรับเงินจาก ตัวแทนนักศึกษามหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช

บริษัท  ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) โดยนายพลาดิสัย  ใจทัศน์กุล  ผู้จัดการแผนกสื่อสารองค์กรและกิจกรรมเพื่อสังคม  รับมอบกระดาษและใบเสร็จรับเงินจาก  ตัวแทนนักศึกษามหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช   วิทยาลัยพัฒนาชุมชนเมือง   สาขาการพัฒนาเด็กปฐมวัย  เพื่อร่วมโครงการ Tollway  Green Way  โดยนำ  เศษกระดาษจากบริษัท  และหน่วยราชการ  องค์กรต่าง ๆ  มาส่งมอบ   เพื่อเข้าสู่กระบวนการผลิตเป็น สมุด  Green Way   สมุดจากกระดาษรีไซเคิล  พร้อมส่งต่อให้โรงเรียนและนักเรียนที่ขาดแคลนอุปกรณ์การเรียน  จัดเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมเพื่อสร้างสรรค์สังคมให้ใส่ใจสิ่งแวดล้อม  และสนับสนุนการศึกษาอย่างยั่งยืน  ตามเป้าหมายแห่งความยั่งยืนของสหประชาชาติ  ข้อที่  12 :  สร้างหลักประกันให้มีแบบแผนการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน

สำหรับท่านที่อยากจะนำกระดาษที่เหลือใช้มามอบเข้าโครงการ ฯ  สามารถนำมาส่งได้ที่จุดตั้งกล่องรับบริจาค  ดังนี้  

1.บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด(มหาชน)

2.ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต ทางเข้า-ออก ชั้น 1

3.ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต ทางเข้า-ออก ชั้น 2

4.มหาวิทยาลัยราชภัฎพระนคร

5.สำนักงานเขตสายไหม

6.เทศบาลเมืองคูคต

7.เทศบาลนครรังสิต

8.มหาวิทยาลัยศรีปทุม

9.มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

10.มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

11.บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) (จุดที่ 1)  

12.มหาวิทยาลัยราชมงคลธัญบุรี

13.มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร (เทเวศร์)

14.สำนักงานเขตหลักสี่

15.สำนักงานเขตดอนเมือง

16.สำนักงานเขตบางเขน

17.สำนักงานเขตจตุจักร

18.อาคารรัฐประศาสนภักดี  ศูนย์ราชการ

19.อาคารธนภูมิ  ชั้น 1  ข้างลิฟต์

หรือ  จัดส่งพัสดุได้ที่  แผนกสื่อสารองค์กร (Green  Way)  บมจ.ทางยกระดับดอนเมือง  40/40  ถนนวิภาวดีรังสิต  แขวงสนามบิน  เขตดอนเมือง  กรุงเทพฯ  10210  Tollway Call Center  1233


ผู้ว่า ททท. ร่วมกับ ผบช.น. ประชุมเข้ม! เตรียมมาตรการรักษาความปลอดภัย และการจราจรในการจัดงาน Maha Songkran World Water Festival 2025

 ผู้ว่า ททท. ร่วมกับ ผบช.น. ประชุมเข้ม! เตรียมมาตรการรักษาความปลอดภัย และการจราจรในการจัดงาน Maha Songkran World Water Festival 2025 

ในวันนี้ (31 มีนาคม 2568) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุมปารุสกวัน 2 กองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พร้อมด้วย นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เป็นประธานร่วมในการประชุมผู้บริหาร ททท. และผู้แทนจากสถานีตำรวจที่เกี่ยวข้อง เพื่อหารือมาตรการรักษาความปลอดภัย และการจราจรในการจัดงาน Maha Songkran World Water Festival 2025 ในวันที่ 11-15 เมษายน 2568 ณ บริเวณถนนราชดำเนิน และท้องสนามสนามหลวง กรุงเทพมหานคร


💦สำหรับมาตรการรักษาความปลอดภัยและการจราจรในการจัดงานดังกล่าว มีประเด็นสำคัญ เช่น การวางแผนจราจรสำหรับขบวนพาเหรด และบริเวณโดยรอบสนามหลวง การจัดเจ้าหน้าที่ตำรวจ และการวางแผนรักษาความปลอดภัยในจุดต่างๆ การกำหนดจุดการติดตั้งป้ายประชาสัมพันธ์ และหลีกเลี่ยงการจราจรระหว่างการจัดงาน รวมถึงการขออนุญาตหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น



✅ในที่ประชุมได้พิจารณามอบหมายสถานีตำรวจที่เกี่ยวข้องในแต่ละภารกิจ ตามที่ ททท.ได้เสนอขอความอนุเคราะห์ และขอให้ ททท. ดำเนินการประสานงานในแต่ละหน่วยงาน รวมถึงประชุมหารือนอกรอบในแต่ละภารกิจอีกครั้ง เพื่อให้การจัดงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ปลอดภัย สามารถส่งมอบประสบการณ์ที่ดีแก่นักท่องเที่ยวในการเข้าร่วมงานประเพณีสงกรานต์มรดกโลก กระตุ้นการท่องเที่ยว และผลักดันให้ประเทศไทยเป็น 1 ใน 10 ประเทศ ที่มีเฟสติวัลระดับโลก


#AmazingThailand

#MahaSongkranWorldWaterFestival2025

รมว.ท่องเที่ยวฯ ประชุมด่วนรัฐ-เอกชน ถกผลกระทบแผ่นดินไหว 28 มี.ค. ชูแนวทางสื่อสาร Single Command – เร่งประชาสัมพันธ์ความปลอดภัยแหล่งท่องเที่ยวไทย

 รมว.ท่องเที่ยวฯ ประชุมด่วนรัฐ-เอกชน ถกผลกระทบแผ่นดินไหว 28 มี.ค. ชูแนวทางสื่อสาร Single Command – เร่งประชาสัมพันธ์ความปลอดภัยแหล่งท่องเที่ยวไทย


วันที่ 31 มีนาคม 2568 เวลา 14.00 น. ณ ห้องประชุมกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานการประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อประเมินผลกระทบด้านการท่องเที่ยวจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 และร่วมกันกำหนดแนวทางการฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ










ในการประชุม มีผู้บริหารกระทรวงฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง อาทิ นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ, นายจักรพรรดิ์ คล่องพยาบาล ที่ปรึกษารัฐมนตรีฯ, นายกฤษฎา ตันเทอดทิตย์ เลขานุการรัฐมนตรีฯ, นางสาวนัทรียา ทวีวงศ์ ปลัดกระทรวงฯ, นายมงคล วิมลรัตน์ อธิบดีกรมพลศึกษา, นายจาตุรนต์ ภักดีวานิช  อธิบดีกรมการท่องเที่ยว, พลตำรวจโทศักย์ศิรา เผือกอ่ำ ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว, นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย รวมถึงผู้แทนหน่วยงานจากภาคเอกชน เช่น สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย, สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA), สมาคมโรงแรมไทย (THA), สมาคมไทยบริการท่องเที่ยว (TTAA), สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ (สทน.), สมาคมมัคคุเทศก์อาชีพแห่งประเทศไทย (PGAT), สมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย (สธทท.), สมาคมสายการบินประเทศไทย รวมทั้งสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน)

รมว.ท่องเที่ยวฯ กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้เป็นการรับฟังข้อเสนอจากภาคเอกชนเพื่อเร่งกำหนดมาตรการรองรับและแก้ไขผลกระทบอย่างเป็นรูปธรรม โดยภาคเอกชนเสนอให้มี “ผู้สั่งการคนเดียว” (Single Command) เพื่อให้การสื่อสารทั้งในและต่างประเทศมีความชัดเจนและเชื่อถือได้ พร้อมทั้งเสนอให้หน่วยงานรัฐออกใบรับรองความปลอดภัยของโรงแรมที่ผ่านการตรวจสอบโครงสร้างแล้ว รวมถึงการสื่อสารเชิงรุกว่าพื้นที่ท่องเที่ยวในจังหวัดอื่น ๆ ของประเทศไทยยังคงปลอดภัยและพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวตามปกติ

นายสรวงศ์ เน้นย้ำว่า กระทรวงฯ จะรวบรวมข้อเสนอทั้งหมดเพื่อนำเสนอให้ท่านนายกรัฐมนตรีพิจารณาโดยเร็ว พร้อมกันนี้ยังได้ขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนร่วมกันประชาสัมพันธ์แอปพลิเคชัน “Thailand Tourist Police Application (TPB)” ของกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ซึ่งจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความมั่นใจและอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่กำลังจะมาถึง

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวเพิ่มเติมว่า “กระทรวงฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะร่วมกันดูแลและรับผิดชอบในเรื่องความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวอย่างเต็มที่ โดยจะบูรณาการความร่วมมือทั้งตำรวจภูธร นครบาล และตำรวจท่องเที่ยว ตลอดถึงการนำนวัตกรรมด้านความปลอดภัย เช่น กล้อง CCTV เข้ามาใช้ เพื่อให้เกิดความมั่นใจในการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทย นักท่องเที่ยวสามารถมั่นใจได้ว่าจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจากทุกภาคส่วน


กระทรวงฯ ขอเชิญชวนสื่อมวลชน และพี่น้องประชาชนทุกคน ร่วมกันเป็นเจ้าบ้านที่ดี สร้างภาพลักษณ์ที่อบอุ่นและปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยว ซึ่งจะเป็นแรงสำคัญในการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวไทยให้ผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ได้อย่างเข้มแข็ง” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวในช่วงท้ายของการประชุม

"สพฐ. ย้ำนักเรียนต้องปลอดภัย คาดวันสอบใหม่ ม.1 ม.4 ทั่วประเทศ 26-27 เมษายนนี้ หากไม่มีแผ่นดินไหวซ้ำ"

 "สพฐ. ย้ำนักเรียนต้องปลอดภัย คาดวันสอบใหม่ ม.1 ม.4 ทั่วประเทศ 26-27 เมษายนนี้ หากไม่มีแผ่นดินไหวซ้ำ"

วันที่ 31 มีนาคม 2568 ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) เปิดเผยว่า ตามที่เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 จนส่งผลกระทบต่อหลายพื้นที่ในประเทศไทย และ สพฐ. ได้ประกาศเลื่อนวันสอบคัดเลือกนักเรียนเข้าศึกษาต่อชั้น ม.1 และ ม.4 จากวันที่ 29 และ 30 มีนาคม ออกไปก่อน นั้น ล่าสุด สพฐ. ได้พิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบันและเหตุผลด้านความปลอดภัยที่มีแนวโน้มดีขึ้น คาดว่าจะสามารถกำหนดวันสอบใหม่ได้ เป็นวันเสาร์ที่ 26 และวันอาทิตย์ที่ 27 เมษายน 2568 สำหรับการสอบเข้าชั้น ม.1 และ ม.4 ทั่วประเทศ ตามลำดับ หากสถานการณ์เป็นปกติและไม่มีเหตุการณ์แผ่นดินไหวหรือภัยพิบัติอื่นๆ เกิดขึ้นซ้ำอีก เนื่องจากต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของนักเรียน ครูและบุคลากรทางการศึกษา เป็นสำคัญ และให้เกิดผลกระทบกับนักเรียนและผู้ปกครองน้อยที่สุด ตามข้อสั่งการของพลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และนายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่มีความห่วงใยสวัสดิภาพของนักเรียนและผู้ปกครอง ครูและบุคลากรทางการศึกษา ให้มีความปลอดภัยในชีวิตทั้งร่างกายและสภาพจิตใจที่ดีมาเป็นอันดับแรก

.

สพฐ. พิจารณาแล้วว่าช่วงเวลาดังกล่าวน่าจะมีความเหมาะสมมากที่สุด เพื่อให้เกิดผลกระทบกับนักเรียนและผู้ปกครองน้อยที่สุด ทั้งด้านความปลอดภัยและสภาพจิตใจโดยรวม ส่วนที่ผู้ปกครองเกิดความกังวลว่าบุตรหลานจะมีที่เรียนได้ทันก่อนเปิดภาคเรียนที่ 1/2568 หรือไม่ ขอให้มั่นใจว่า สพฐ. จะดำเนินการรับนักเรียนได้ทันก่อนเปิดภาคเรียนแน่นอน แต่หากเกิดเหตุแผ่นดินไหวหรือภัยพิบัติใดๆ ขึ้นอีก จนกระทบกับการเปิดเรียนในวันที่ 16 พฤษภาคมนี้ เราก็สามารถจัดการเรียนการสอนที่ยืดหยุ่นเข้ากับสถานการณ์ได้ จึงขอให้ผู้ปกครองคลายความกังวลใจได้ เราจะดูแลนักเรียนทุกคนอย่างดีที่สุด เพราะหัวใจของเรา คือ ความปลอดภัยของนักเรียน” เลขาธิการ กพฐ. กล่าว

.

สำหรับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 เวลา 15.00 น. พบว่า โรงเรียนในสังกัด สพฐ. ทั่วประเทศได้รับความเสียหายทั้งหมด 2,465 แห่ง แบ่งกลุ่มเป็น เสียหายเล็กน้อย/ไม่เสียหาย จำนวน 2,110 แห่ง เสียหายปานกลาง จำนวน 307 แห่ง และเสียหายมาก จำนวน 48 แห่ง ในส่วนโรงเรียนที่ได้รับความเสียหายหนัก มีทั้งอาคารเกิดการทรุดตัว โครงสร้างอาคารมีการพังถล่ม อาคารเคลื่อนตัวออกจากฐานราก และพื้นผิวรอบเสามีรอยฉีกขาดอย่างรุนแรง ฯลฯ โดยจังหวัดที่มีโรงเรียนรายงานผลกระทบเข้ามามากสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ 190 แห่ง ลำปาง 141 แห่ง กรุงเทพฯ 123 แห่ง กาญจนบุรี 122 แห่ง และพิจิตร 119 แห่ง ตามลำดับ ซึ่งขณะนี้ได้เร่งให้ทำการสำรวจให้แล้วเสร็จภายในวันนี้ เพื่อประเมินสถานการณ์และช่วยเหลือโรงเรียนที่ได้รับผลกระทบโดยเร็วต่อไป

สทนช. ระดมผู้เชี่ยวชาญรุดตรวจสอบอาคารที่ทำการใหม่ ยืนยันแข็งแรง ปลอดภัย

 สทนช. ระดมผู้เชี่ยวชาญรุดตรวจสอบอาคารที่ทำการใหม่ ยืนยันแข็งแรง ปลอดภัย



สทนช. ลงพื้นที่ตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรงการก่อสร้างอาคารที่ทำการ สทนช. หลังเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ยืนยัน ยังแข็งแรง ปลอดภัย เผยการตรวจสอบเบื้องต้นไม่พบรอยร้าว ไม่มีความเสียหาย เร่งประสานผู้มีใบอนุญาตตรวจสอบอาคารอย่างละเอียด ขีดเส้นแล้วเสร็จภายใน 15 วัน ยืนยันการใช้จ่ายงบประมาณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพตามกฎหมาย





วันนี้ (31 มีนาคม 2568) นายไพฑูรย์  เก่งการช่าง รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ในฐานะโฆษก สทนช. และประธานคณะกรรมการตรวจรับพัสดุ (อาคาร สทนช.) เปิดเผยภายหลังการลงพื้นที่ตรวจสอบความมั่นคงของการก่อสร้างอาคารที่ทำการถาวรหลังจากการเกิดแผ่นดินไหว เพื่อสร้างความมั่นใจและปลอดภัยให้ผู้ปฏิบัติงานก่อสร้างและการใช้งานอาคารในอนาคต ณ อาคารที่ทำการ สทนช. ตำบลบางตลาด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี โดยกล่าวว่า จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งประวัติศาสตร์ของประเทศไทยเมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 28 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ สทนช. มีอาคารที่ทำการขนาดใหญ่ที่อยู่ในระหว่างการดำเนินการก่อสร้าง จึงได้เร่งตรวจสอบผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว โดยวานนี้ (30 มีนาคม 2568) สทนช. พร้อมด้วย ผู้ออกแบบอาคารที่ทำการ สทนช. ที่ปรึกษาควบคุมงาน และผู้รับจ้าง ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบความมั่นคงของการก่อสร้างอาคาร ตลอดจนได้ประชุมหารือร่วมกับทีมงานที่ปรึกษาและกิจการร่วมการค้าเอ็นซีอาร์อีซี ที่ดำเนินการก่อสร้าง จากการตรวจสอบสภาพอาคารที่ทำการ สทนช. ด้วยการประเมินตามหลักการตรวจสอบภายนอก visual check ไม่พบว่าอาคารมีรอยร้าวหรือส่วนประกอบอื่นเกิดความเสียหายแต่อย่างใด 

ในวันนี้ได้ลงพื้นที่ประเมินความเสียหายอีกครั้ง เพื่อวางแผนในการตรวจสอบความมั่นคงและปลอดภัยของอาคารอย่างละเอียด ทั้งนี้ ในการออกแบบของอาคารที่ทำการ สทนช. เป็นไปตามมาตรฐานของการก่อสร้างอาคารสูงทุกประการ โดยตระหนักถึงความถูกต้อง มั่นคงและปลอดภัยในทุกขั้นตอนการก่อสร้าง ที่ยึดหลักกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณเป็นไปอย่างรอบคอบและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ในช่วงระหว่างการก่อสร้างที่ผ่านมา สทนช. ได้มีการติดตามตรวจสอบการก่อสร้างให้เป็นไปตามมาตรฐานและขอบเขตข้อกำหนดของงานอย่างต่อเนื่องอีกด้วย เพื่อให้สามารถใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติงาน สร้างขวัญและกำลังใจของเจ้าหน้าที่ สทนช. ในการปฏิบัติหน้าที่บูรณาการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศได้ตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 อย่างไรก็ตาม เพื่อยืนยันความปลอดภัยในระหว่างการก่อสร้างอาคาร สทนช. ได้มีการสั่งหยุดงานชั่วคราว และได้มอบหมายให้บริษัทที่ปรึกษาควบคุมงาน ประสานผู้มีใบอนุญาตตรวจสอบอาคารอีกครั้ง เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานและให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2568 โดยหลังจากการตรวจสอบจากผู้มีใบอนุญาตตรวจสอบยันยันถึงความปลอดภัยแล้ว จึงจะอนุญาตให้คนงานเข้าดำเนินการก่อสร้าง พร้อมทั้งได้เร่งรัดก่อสร้างให้แล้วเสร็จโดยเร็วต่อไป” โฆษก สทนช. กล่าวย้ำ 







สำหรับอาคารที่ทำการ สทนช. ดำเนินการก่อสร้างโดย กิจการร่วมการค้า เอ็นซีอาร์อีซี ซึ่งประกอบด้วย บริษัทเนาวรัตน์ พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) หรือ NWR ถือหุ้น 51% และ บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด หรือ CREC ถือหุ้น 49% ซึ่งชนะการประกวดราคาโดยวิธีอิเล็กทรอนิกส์ (E-Bidding) ด้วยราคา 716.45 ล้านบาท เป็นการก่อสร้างอาคารสูง 16 ชั้น และชั้นใต้ดิน 1 ชั้น เริ่มก่อสร้างในเดือนสิงหาคม 2562 มีระยะเวลาก่อสร้าง 18 เดือน (540 วัน) แต่ได้มีการขยายระยะเวลาก่อสร้าง เนื่องจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ขณะนี้ได้ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จไปแล้วประมาณ 99% คาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งหมดในปี 2569








โฆษก สทนช. กล่าวเพิ่มเติมว่า อาคารที่ทำการ สทนช. สร้างบนเนื้อที่ 14 ไร่ 1 งาน ในพื้นที่ราชพัสดุ ซึ่งเดิมเป็นพื้นที่บางส่วนของกรมชลประทาน โดย สทนช. ได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยมหิดล ออกแบบตามกฎหมายและระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง และยังออกแบบให้เป็นอาคารประหยัดพลังงานที่เลือกใช้กระจกชนิดที่มีค่าการส่งผ่านความร้อนต่ำ (U-value) เพื่อป้องกันความร้อนจากแสงแดดเข้าสู่ตัวอาคาร ลดการใช้พลังงานไฟฟ้าสำหรับระบบปรับอากาศได้เป็นจำนวนมาก อีกทั้งคุณสมบัติพิเศษของกระจกยังไม่ทำให้เกิดการสะท้อนความร้อนไปรบกวนพื้นที่ข้างเคียงอีกด้วย พร้อมกับจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) แล้วเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ สทนช. ยังได้พิจารณาคัดเลือกโครงการนี้เข้าร่วมโครงการความโปร่งใสในการก่อสร้างภาครัฐ (CoST) ของกรมบัญชีกลาง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 และเป็นอาคารเขียวตามมาตรฐาน Thai’s Rating of Energy and Environmental Sustainability for New Construction (TREE-NC) ของสถาบันอาคารเขียวไทย ให้เป็นอาคารประหยัดพลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ภายใต้องค์ประกอบ สถานที่ยั่งยืน ระบบคมนาคมขนส่งสะดวก และมีประสิทธิภาพการใช้น้ำของอาคาร เสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในการรักษาสิ่งแวดล้อมให้กับองค์กรอีกด้วย


สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ 

31 มีนาคม 2568


เตือนภัย! มิจฉาชีพแอบอ้าง อย. หลอกเก็บเงินผู้ได้รับรางวัล อย. ควอลิตี้ อวอร์ด

  เตือนภัย! มิจฉาชีพแอบอ้าง อย. หลอกเก็บเงินผู้ได้รับรางวัล อย. ควอลิตี้ อวอร์ด อย. เตือนผู้ประกอบการที่ได้รับรางวัล อย. ควอลิตี้ อวอร์ด อย่...